วันศุกร์ที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2562

ลูกศิษย์วัด...ต้องระวัง?

           
             ลูกศิษย์วัด...ต้องระวัง? อ้าวทำไมหรือครับ...ระวังอะไร ระวังทำไม? วันนี้ผมจะเอาเรื่องนี้มาบอกกล่าว กระตุ้นเตือนกันหน่อยครับ
            ลูกศิษย์วัดในที่นี้ของผม ไม่ได้หมายถึงเด็กวัด ที่คอยเดินตามพระเณร ถือถุงย่ามเวลาท่านออกบิณฑบาตรในตอนเช้าๆนะครับ แต่ผมหมายถึงลูกศิษย์ลูกหา ของพระเกจิ พระอาจารย์ ทั้งหลายที่ตัวเองนับถือเคารพ กราบไหว้ บูชา ฟังธรรม และหรือคอยทำบุญด้วยเป็นประจำ ซึ่งส่วนใหญ่แล้ว ท่านเหล่านี้เป็นผู้ที่ยึดมั่น และปฎิบัติธรรม ศึกษาธรรมกันมาไม่มากก็น้อย มากบ้าง น้อยบ้าง ตามอุปนิสัยก็ว่ากันไปครับ ส่วนมากแล้วเมื่อศรัทธาในพุทธศาสนา ก็จะศรัทธาในพระเกจิ พระอาจารย์ ศรัทธาในวัดที่ท่านจำพรรษาอยู่ จนเกิดเป็นความคิด ความรู้สึก เป็นอัตตาว่า ฉันลูกศิษย์วัดนั้น ฉันลูกศิษย์วัดนี้ ฉันลูกศิษย์พระองค์นั้น ฉันลูกศิษย์พระองค์นี้ โดยที่พระคุณเจ้าท่าน บางทีก็ไม่ได้รู้เรื่องด้วยหรอก
              ซึ่ง การที่เรามีพระรัตนไตร เป็นที่พึ่ง ที่ยึดเหนี่ยวจิตใจ เป็นเรื่องดีสิครับท่าน   แต่เชื่อว่าเราคงเคยได้พบเจอ ลูกศิษย์วัดบางท่านออกอาการแบบนี้ครับ
             -มาวัดนี้สิ พระอาจารย์ฉันดี ขลัง เก่ง โอ๊ย...วัดโน้นเหรอ วัดนี้เหรอ...บลาๆๆๆ
             -พระอาจารย์ฉันสิ ท่านสอนว่าอย่างนั้น อย่างนี้ ท่านว่าให้ปฎิบัติอย่างนี้ สายอื่นไม่ดีหรอก สายฉันนี่สุดจัดปลัดบอก
             -พระวัดโน้นเหรอ เห็นเป็นข่าวอยู่ ไม่เอาหรอก วัดนี้เหรอ เห็นเพื่อนในเฟสว่าไม่ดีอย่างนู้น อย่างนี้
             -วัดโน้นเหรอเธอ ไม่ไปหรอกรวยแล้ว นี่ต้องวัดป่าที่นี่สิ สอนให้ไม่รับเงิน ดูน่าเลื่อมใสดี
             ทั้งหลายทั้งปวงนี้ที่ได้ยินได้ฟังมา แล้วก็เอามาพูดเกทับกันว่า วัดฉันดีกว่า พระอาจารย์ฉันสิดีกว่า ผมเชื่อว่า พระท่านไม่ได้รู้เรื่องด้วยหรอกครับ และถ้ารู้เข้า ท่านก็คงไม่ยินดีด้วยหรอกครับ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องจริงหรือไม่จริงก็ตาม เราไม่มีทางรู้หรอกครับ
             ที่ผมบอกว่า...ลูกศิษย์วัดต้องระวัง? ก็คือ พระท่านสอนเอาไว้ว่าเรื่องแบบนี้มันมีผลเป็นกรรมครับ และมีโอกาสเป็นกรรมไม่ดีซะส่วนมากครับ เพราะว่า การที่เรายึดติดกับ พระ หรือวัด แล้วเอาไปเปรียบเทียบ ยกตนข่มท่าน มันเป็นโอกาสสร้างกรรมกับพระ หรือวัด อื่นๆ โดยทั้งเจตนา และไม่เจตนา ต่อให้เป็นเรื่องจริงหรือไม่ก็ตาม เป็นการสร้างบาปให้กับตัวโดยไม่ใช่เรื่องที่ควรกระทำ เป็นการเอาขาข้างนึงไปฝากไว้กับท่านพยายม โดยไม่ใช่เหตุเลยครับ
             อีกอย่าง พระพุทธองค์เอง ก็สอนให้ละวาง ไม่ยึดติดในตัวบุคคล หรือวัตถุ ท่านสอนให้ยึดในพระธรรมคำสั่งสอน ของท่านเป็นหลัก ซึ่งการนับถือครูบา อาจารย์ กับการยึดติด มันคนละเรื่องกันนะครับ
             การที่มีครูบาอาจารย์ ให้ยึดถือเป็นหลักเป็นเรื่องดี แต่ไม่ควรเอาท่านไปเปรียบเทียบกันเอง หรือหมายเอาเองว่า พระวัดที่เราไม่ชอบนั่นไม่ใช่พระ ท่านจะชอบหรือไม่ ก็เก็บไว้ในใจเป็นการส่วนตัว แค่นี้ก็เป็นบาปในใจ หรือมโนกรรมแล้วครับ อย่าเลยเถิดไปถึงวจีกรรม หรือกายกรรมเลยครับ
             ในบางกรณีที่ท่าน มั่นใจ หรือปลงใจว่า พระที่ท่านเห็นพฤติกรรม ไม่ตรงกับ สมณสารูป ไม่น่าใช่พระ ท่านก็ต้องทราบว่ากรณีไหนที่เป็นเรื่องของผู้ที่เกี่ยวข้อง ต้องรับเรื่องไปดำเนินการ ท่านไม่ใช่พระ ไม่ควรเข้าไปยุ่งเกี่ยวเองนะครับ ท่านจะเชื่อบ้านเมืองหรือไม่ ก็ไม่ใช่หน้าที่ของท่านอีกนั่นเหล่ะ ท่านไม่ควรก้าวก่ายครับ เวรกรรมมันจะเป็นของคนที่ทำเองครับ ถ้าท่านเชื่อในผลของกรรม บางครั้งเราก็ต้องรู้จักวางอุเบกขาครับ
             ทั้งหลายเหล่านี้ เป็นความคิด ความเข้าใจของผมเองจากการเรียนรู้ศึกษามา เห็นด้วยหรือไม่ ไม่เป็นไรครับ ไม่ชอบก็ข้ามๆไปนะครับ อย่าเอาอารมณ์ท่านมายึดติดกับข้อคิดข้อเขียน ของเด็กอนุบาลธรรมอย่างผมเลยนะครับ

6 ความคิดเห็น: