วันศุกร์ที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2562

กรรมเก่า & กรรมใหม่...ไม่เข้าใจจริงๆ?

             
               เคยมั๊ยครับ ในชีวิตช่วงที่มีอุปสรรคขัดขวาง ทำอะไรก็ไม่ดีไปหมด เดี๋ยวเจ็บ เดี๋ยวป่วย โดนแกล้งบ้าง การงานติดๆ ขัดๆ เงินทองขัดสน โดนโกงบ้าง เบี้ยวหนี้บ้าง สารพัดจะโดนเบียดเบียนทางร่างกาย ทรัพย์สิน และจิตใจ มันอะไรกันนี่? ฉันไปทำกรรมอะไรใครเอาไว้?
               ผมเคยคิดนะครับ เวลาอ่านข่าวเจอว่า คนเจออุบัติเหตุถึงแก่ชีวิต เช่น เดินๆอยู่กลางทุ่งนา เจอควายขวิดตาย (โบราณไปหรือปล่าวเนี่ย) หรือขับรถอยู่ดีๆ เจอตู้คอนเทนเน่อร์ หล่นใส่ทับ ตายโดยไม่ทันร่ำลาใคร หรืออยู่ดีๆ ก็โดนพวกขับรถมาปาดหน้า หมั่นไส้กัน ลงมาเอาปืนยิงฝากลูกกระสุนเอาไว้ในท้องให้เป็นที่ระทึกซะงั้น ล่าสุด มีคนสายบุญ ทำบุญหนักมาก เยอะมาก ไปโดนคนห่มผ้าเหลือง เอามีดอีโต้ฟัน เจ็บหนักจนเสียชีวิตในเวลาต่อมา เพียงเพราะว่า ไปเตือนถึงพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม ของชายห่มผ้าเหลือง
               ทางโลกๆก็คงบอกว่า...ซวย ดวงตก ทางธรรม ก็จะบอกว่า...คราวเคราะห์...กรรมตามทัน คนเหล่านี้ เขาไปทำกรรมอะไรเอาไว้หรือครับ
               บางท่านที่พอมีความรู้ทางธรรม อาจจะบอกว่า...กรรมเก่าที่ไปทำเขามาก่อน หรือ เจ้ากรรมนายเวร ที่เป็นคนที่เคยถูกเรากระทำมา ตามมาเอาคืน ในชาตินี้ เช่น ควาย หรือ คนที่มาทำร้ายเขาเหล่านั้น จนถึงชีวิต...ผมเคยคิดนะครับว่าถ้าอย่างงั้น คนที่มาเอาคืนก็สร้างกรรมใหม่ต่อ วนเวียนกันไป ไม่รู้จักจบ จักสิ้นสิครับท่าน? อันนี้ผมเองเคยตั้งคำถามเอาในใจ ด้วยความงุนงงสงสัยเป็นยิ่งนัก แต่หลังจากที่ผมได้อ่าน ได้ศึกษา เรื่องของกรรมมาพักใหญ่ๆ ผมจึงได้คำตอบว่า
              เรื่องของกรรมตามทัน หรือกรรมได้ช่อง ส่งผลนั้น คนที่มากระทำกับเรา ไม่จำเป็นต้องเป็นเจ้ากรรมนายเวร ของเรามาก่อนเสมอไป เป็นก็ได้ ไม่เป็นก็ได้ สุดแท้แต่จังหวะ ของเวลา ที่เรียกว่า กรรมได้ช่องนั่นเหล่ะครับ คือกรรมเขาจัดสรรค์หาเวลาที่เหมาะเหม็งให้เองเหล่ะครับ ส่วนเขาจัดสรรค์มายังไง ไม่ต้องไปคิดต่อนะครับ เพราะเกินกำลังสติปัญญาอย่างพวกเราจะไปคิดได้ พระพุทธองค์เรียกเรื่องแบบนี้ว่า เป็นอจินไต คิดมากไปอาจพาลเป็นบ้าเอาได้ เปลืองสมองไม่ได้ช่วยให้เข้าถึงธรรม
              ส่วนตัวเรา สมมุติว่าเราเคยเป็นเจ้ากรรมนายเวร ของคนอื่นมาก่อน ก็ไม่ได้หมายความว่า เราจะต้องไปเอาคืนเขาบ้างเสมอไปตามกำลังของกรรมเก่า แต่กรรมใหม่คือเรานี่เหล่ะที่สามารถกำหนดได้ว่า เมื่อถึงรอบที่เราจะเอาคืน เราจะยับยั้งชั่งใจได้ด้วย จิตสำนึกใหม่ของเราได้หรือไม่ ผ่านการที่มีโอกาสฟังธรรมมะ แล้วได้คิด กระตุกต่อมความเกรงกลัวต่อผลของกรรม เลยไม่กล้าลงมือ อโหสิกรรมกันไป
              ซึ่งเท่ากับว่าเราตัดวงจรกรรมของเรากับเขาไป ส่วนคนที่ได้รับอโหสิกรรมจากเรา ไม่ได้หมายความว่าเขาจะไม่ได้รับผลของกรรมอีกต่อไปนะครับ ผลก็ยังคงมี ที่ต้องได้รับ แต่ไม่โดนเรากระทำซ้ำเติมแค่นั้นเอง คือโทษอาจจะผ่อนหนักเป็นเบาไปประมาณนึง
              จะเห็นได้ว่า เรื่องของกรรมทั้งเก่า ทั้งใหม่ เป็นเรื่องที่ซับซ้อน เกินความคิดที่จะไปคาดเดา แต่มันส่งผลกับเราตลอดเวลา ตัวแปรที่มีผลมากๆก็คือ ความหนักเบา ของการกระทำที่ได้กระทำไป และทำกับใคร รวมถึงเจตนาของเราที่กระทำลงไปด้วยครับ กรรมจะส่งผลกับเราเมื่อไหร่ ที่ไหน เราไม่มีทางรู้หรอกครับ แต่เราสามารถระมัดระวังได้ครับ อย่างไรหรือครับ?
             ก็คือ...ความไม่ประมาทไงละครับ มีสติ ระมัดระวัง เหมือนที่พระพุทธองค์ ทรงย้ำพร่ำสอน ไว้  กรรมก็จะหาช่องไม่เจอ หรือเจอก็ยากหน่อย หมั่นเติมบุญไว้ให้สม่ำเสมอ ก็เป็นความไม่ประมาทอีกอย่างนึงครับ สาธุครับ

6 ความคิดเห็น: