Dhamma Talk & Thinking & Dream in Dream เรื่องเล่า ความคิด ความฝัน ธรรมมะ ชีวิต
วันศุกร์ที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2562
ลูกศิษย์วัด...ต้องระวัง?
ลูกศิษย์วัด...ต้องระวัง? อ้าวทำไมหรือครับ...ระวังอะไร ระวังทำไม? วันนี้ผมจะเอาเรื่องนี้มาบอกกล่าว กระตุ้นเตือนกันหน่อยครับ
ลูกศิษย์วัดในที่นี้ของผม ไม่ได้หมายถึงเด็กวัด ที่คอยเดินตามพระเณร ถือถุงย่ามเวลาท่านออกบิณฑบาตรในตอนเช้าๆนะครับ แต่ผมหมายถึงลูกศิษย์ลูกหา ของพระเกจิ พระอาจารย์ ทั้งหลายที่ตัวเองนับถือเคารพ กราบไหว้ บูชา ฟังธรรม และหรือคอยทำบุญด้วยเป็นประจำ ซึ่งส่วนใหญ่แล้ว ท่านเหล่านี้เป็นผู้ที่ยึดมั่น และปฎิบัติธรรม ศึกษาธรรมกันมาไม่มากก็น้อย มากบ้าง น้อยบ้าง ตามอุปนิสัยก็ว่ากันไปครับ ส่วนมากแล้วเมื่อศรัทธาในพุทธศาสนา ก็จะศรัทธาในพระเกจิ พระอาจารย์ ศรัทธาในวัดที่ท่านจำพรรษาอยู่ จนเกิดเป็นความคิด ความรู้สึก เป็นอัตตาว่า ฉันลูกศิษย์วัดนั้น ฉันลูกศิษย์วัดนี้ ฉันลูกศิษย์พระองค์นั้น ฉันลูกศิษย์พระองค์นี้ โดยที่พระคุณเจ้าท่าน บางทีก็ไม่ได้รู้เรื่องด้วยหรอก
ซึ่ง การที่เรามีพระรัตนไตร เป็นที่พึ่ง ที่ยึดเหนี่ยวจิตใจ เป็นเรื่องดีสิครับท่าน แต่เชื่อว่าเราคงเคยได้พบเจอ ลูกศิษย์วัดบางท่านออกอาการแบบนี้ครับ
-มาวัดนี้สิ พระอาจารย์ฉันดี ขลัง เก่ง โอ๊ย...วัดโน้นเหรอ วัดนี้เหรอ...บลาๆๆๆ
-พระอาจารย์ฉันสิ ท่านสอนว่าอย่างนั้น อย่างนี้ ท่านว่าให้ปฎิบัติอย่างนี้ สายอื่นไม่ดีหรอก สายฉันนี่สุดจัดปลัดบอก
-พระวัดโน้นเหรอ เห็นเป็นข่าวอยู่ ไม่เอาหรอก วัดนี้เหรอ เห็นเพื่อนในเฟสว่าไม่ดีอย่างนู้น อย่างนี้
-วัดโน้นเหรอเธอ ไม่ไปหรอกรวยแล้ว นี่ต้องวัดป่าที่นี่สิ สอนให้ไม่รับเงิน ดูน่าเลื่อมใสดี
ทั้งหลายทั้งปวงนี้ที่ได้ยินได้ฟังมา แล้วก็เอามาพูดเกทับกันว่า วัดฉันดีกว่า พระอาจารย์ฉันสิดีกว่า ผมเชื่อว่า พระท่านไม่ได้รู้เรื่องด้วยหรอกครับ และถ้ารู้เข้า ท่านก็คงไม่ยินดีด้วยหรอกครับ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องจริงหรือไม่จริงก็ตาม เราไม่มีทางรู้หรอกครับ
ที่ผมบอกว่า...ลูกศิษย์วัดต้องระวัง? ก็คือ พระท่านสอนเอาไว้ว่าเรื่องแบบนี้มันมีผลเป็นกรรมครับ และมีโอกาสเป็นกรรมไม่ดีซะส่วนมากครับ เพราะว่า การที่เรายึดติดกับ พระ หรือวัด แล้วเอาไปเปรียบเทียบ ยกตนข่มท่าน มันเป็นโอกาสสร้างกรรมกับพระ หรือวัด อื่นๆ โดยทั้งเจตนา และไม่เจตนา ต่อให้เป็นเรื่องจริงหรือไม่ก็ตาม เป็นการสร้างบาปให้กับตัวโดยไม่ใช่เรื่องที่ควรกระทำ เป็นการเอาขาข้างนึงไปฝากไว้กับท่านพยายม โดยไม่ใช่เหตุเลยครับ
อีกอย่าง พระพุทธองค์เอง ก็สอนให้ละวาง ไม่ยึดติดในตัวบุคคล หรือวัตถุ ท่านสอนให้ยึดในพระธรรมคำสั่งสอน ของท่านเป็นหลัก ซึ่งการนับถือครูบา อาจารย์ กับการยึดติด มันคนละเรื่องกันนะครับ
การที่มีครูบาอาจารย์ ให้ยึดถือเป็นหลักเป็นเรื่องดี แต่ไม่ควรเอาท่านไปเปรียบเทียบกันเอง หรือหมายเอาเองว่า พระวัดที่เราไม่ชอบนั่นไม่ใช่พระ ท่านจะชอบหรือไม่ ก็เก็บไว้ในใจเป็นการส่วนตัว แค่นี้ก็เป็นบาปในใจ หรือมโนกรรมแล้วครับ อย่าเลยเถิดไปถึงวจีกรรม หรือกายกรรมเลยครับ
ในบางกรณีที่ท่าน มั่นใจ หรือปลงใจว่า พระที่ท่านเห็นพฤติกรรม ไม่ตรงกับ สมณสารูป ไม่น่าใช่พระ ท่านก็ต้องทราบว่ากรณีไหนที่เป็นเรื่องของผู้ที่เกี่ยวข้อง ต้องรับเรื่องไปดำเนินการ ท่านไม่ใช่พระ ไม่ควรเข้าไปยุ่งเกี่ยวเองนะครับ ท่านจะเชื่อบ้านเมืองหรือไม่ ก็ไม่ใช่หน้าที่ของท่านอีกนั่นเหล่ะ ท่านไม่ควรก้าวก่ายครับ เวรกรรมมันจะเป็นของคนที่ทำเองครับ ถ้าท่านเชื่อในผลของกรรม บางครั้งเราก็ต้องรู้จักวางอุเบกขาครับ
ทั้งหลายเหล่านี้ เป็นความคิด ความเข้าใจของผมเองจากการเรียนรู้ศึกษามา เห็นด้วยหรือไม่ ไม่เป็นไรครับ ไม่ชอบก็ข้ามๆไปนะครับ อย่าเอาอารมณ์ท่านมายึดติดกับข้อคิดข้อเขียน ของเด็กอนุบาลธรรมอย่างผมเลยนะครับ
กรรมเก่า & กรรมใหม่...ไม่เข้าใจจริงๆ?
เคยมั๊ยครับ ในชีวิตช่วงที่มีอุปสรรคขัดขวาง ทำอะไรก็ไม่ดีไปหมด เดี๋ยวเจ็บ เดี๋ยวป่วย โดนแกล้งบ้าง การงานติดๆ ขัดๆ เงินทองขัดสน โดนโกงบ้าง เบี้ยวหนี้บ้าง สารพัดจะโดนเบียดเบียนทางร่างกาย ทรัพย์สิน และจิตใจ มันอะไรกันนี่? ฉันไปทำกรรมอะไรใครเอาไว้?
ผมเคยคิดนะครับ เวลาอ่านข่าวเจอว่า คนเจออุบัติเหตุถึงแก่ชีวิต เช่น เดินๆอยู่กลางทุ่งนา เจอควายขวิดตาย (โบราณไปหรือปล่าวเนี่ย) หรือขับรถอยู่ดีๆ เจอตู้คอนเทนเน่อร์ หล่นใส่ทับ ตายโดยไม่ทันร่ำลาใคร หรืออยู่ดีๆ ก็โดนพวกขับรถมาปาดหน้า หมั่นไส้กัน ลงมาเอาปืนยิงฝากลูกกระสุนเอาไว้ในท้องให้เป็นที่ระทึกซะงั้น ล่าสุด มีคนสายบุญ ทำบุญหนักมาก เยอะมาก ไปโดนคนห่มผ้าเหลือง เอามีดอีโต้ฟัน เจ็บหนักจนเสียชีวิตในเวลาต่อมา เพียงเพราะว่า ไปเตือนถึงพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม ของชายห่มผ้าเหลือง
ทางโลกๆก็คงบอกว่า...ซวย ดวงตก ทางธรรม ก็จะบอกว่า...คราวเคราะห์...กรรมตามทัน คนเหล่านี้ เขาไปทำกรรมอะไรเอาไว้หรือครับ
บางท่านที่พอมีความรู้ทางธรรม อาจจะบอกว่า...กรรมเก่าที่ไปทำเขามาก่อน หรือ เจ้ากรรมนายเวร ที่เป็นคนที่เคยถูกเรากระทำมา ตามมาเอาคืน ในชาตินี้ เช่น ควาย หรือ คนที่มาทำร้ายเขาเหล่านั้น จนถึงชีวิต...ผมเคยคิดนะครับว่าถ้าอย่างงั้น คนที่มาเอาคืนก็สร้างกรรมใหม่ต่อ วนเวียนกันไป ไม่รู้จักจบ จักสิ้นสิครับท่าน? อันนี้ผมเองเคยตั้งคำถามเอาในใจ ด้วยความงุนงงสงสัยเป็นยิ่งนัก แต่หลังจากที่ผมได้อ่าน ได้ศึกษา เรื่องของกรรมมาพักใหญ่ๆ ผมจึงได้คำตอบว่า
เรื่องของกรรมตามทัน หรือกรรมได้ช่อง ส่งผลนั้น คนที่มากระทำกับเรา ไม่จำเป็นต้องเป็นเจ้ากรรมนายเวร ของเรามาก่อนเสมอไป เป็นก็ได้ ไม่เป็นก็ได้ สุดแท้แต่จังหวะ ของเวลา ที่เรียกว่า กรรมได้ช่องนั่นเหล่ะครับ คือกรรมเขาจัดสรรค์หาเวลาที่เหมาะเหม็งให้เองเหล่ะครับ ส่วนเขาจัดสรรค์มายังไง ไม่ต้องไปคิดต่อนะครับ เพราะเกินกำลังสติปัญญาอย่างพวกเราจะไปคิดได้ พระพุทธองค์เรียกเรื่องแบบนี้ว่า เป็นอจินไต คิดมากไปอาจพาลเป็นบ้าเอาได้ เปลืองสมองไม่ได้ช่วยให้เข้าถึงธรรม
ส่วนตัวเรา สมมุติว่าเราเคยเป็นเจ้ากรรมนายเวร ของคนอื่นมาก่อน ก็ไม่ได้หมายความว่า เราจะต้องไปเอาคืนเขาบ้างเสมอไปตามกำลังของกรรมเก่า แต่กรรมใหม่คือเรานี่เหล่ะที่สามารถกำหนดได้ว่า เมื่อถึงรอบที่เราจะเอาคืน เราจะยับยั้งชั่งใจได้ด้วย จิตสำนึกใหม่ของเราได้หรือไม่ ผ่านการที่มีโอกาสฟังธรรมมะ แล้วได้คิด กระตุกต่อมความเกรงกลัวต่อผลของกรรม เลยไม่กล้าลงมือ อโหสิกรรมกันไป
ซึ่งเท่ากับว่าเราตัดวงจรกรรมของเรากับเขาไป ส่วนคนที่ได้รับอโหสิกรรมจากเรา ไม่ได้หมายความว่าเขาจะไม่ได้รับผลของกรรมอีกต่อไปนะครับ ผลก็ยังคงมี ที่ต้องได้รับ แต่ไม่โดนเรากระทำซ้ำเติมแค่นั้นเอง คือโทษอาจจะผ่อนหนักเป็นเบาไปประมาณนึง
จะเห็นได้ว่า เรื่องของกรรมทั้งเก่า ทั้งใหม่ เป็นเรื่องที่ซับซ้อน เกินความคิดที่จะไปคาดเดา แต่มันส่งผลกับเราตลอดเวลา ตัวแปรที่มีผลมากๆก็คือ ความหนักเบา ของการกระทำที่ได้กระทำไป และทำกับใคร รวมถึงเจตนาของเราที่กระทำลงไปด้วยครับ กรรมจะส่งผลกับเราเมื่อไหร่ ที่ไหน เราไม่มีทางรู้หรอกครับ แต่เราสามารถระมัดระวังได้ครับ อย่างไรหรือครับ?
ก็คือ...ความไม่ประมาทไงละครับ มีสติ ระมัดระวัง เหมือนที่พระพุทธองค์ ทรงย้ำพร่ำสอน ไว้ กรรมก็จะหาช่องไม่เจอ หรือเจอก็ยากหน่อย หมั่นเติมบุญไว้ให้สม่ำเสมอ ก็เป็นความไม่ประมาทอีกอย่างนึงครับ สาธุครับ
วันเสาร์ที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2562
บันทึกความคิด บันทึกธรรม บันทึกฝัน
บทเกริ่นนำความคิด
คนเราเกิดมาทุกๆคนคงต้องมีความฝัน บ้างก็ฝันกลางวัน บ้างก็ฝันกลางคืน ท่ามกลางความฝันทั้งหลายทั้งมวล บางคนฝันเพ้อเจ้อ ตื่นมาแล้วก้อจบๆไป อันนี้ทางธรรมเขาเรียกว่า ฝันเพราะธาตุกำเริบ เช่นกินอิ่มมากเกินไป นอนมากเกินไป
บางคนฝันถึงคนที่รู้จัก หรือสถานที่ๆเคยพบเห็น อันนี้ทางธรรมก็เรียกว่า ฝันที่เกิดจากจิตนิวรณ์ คือจิตมีความผูกพันธ์กับเรื่องที่ฝัน
บางคนฝันเห็นตัวเลข หรือมีคนมาบอกใบ้ ให้หวย บอกให้ไปขุดโน่นขุดนี่ ฝันว่าได้ไปเที่ยวที่ๆไม่เคยพบเคยเห็น มีใครมาพาไปบ้าง อันนี้ทางธรรม ก็เรียกว่าเทพสังหรณ์ คือมีเทวดา หรือคนที่ตายไปแล้ว มาบอกมาพา มาสื่อกับเราให้ได้เห็นได้รู้ ได้เจอ ฝันแบบนี้ค่อนข้างบอกได้ยากว่า จริงหรือไม่จริง บางคนถูกหวยจริง บางคนก็ไม่จริง มันก้ำๆกึ่งๆระหว่าง ธาตุกำเริบ กับ เทพสังหรณ์ (555) ต้องใช้วิจารณะญาณในการฝันให้ดีๆ
บางคนฝันว่า มีเด็กมาขออยู่ด้วย ฝันว่าได้ลาภ แก้วแหวน เงิน ทอง ไอโฟน ฝันว่า จะมีคนใกล้ชิดจะจากไป ฝ้นถึงเหตุการณ์บางอย่างล่วงหน้า แล้วหลังจากตื่นมา ก็เกิดเรื่องราวที่ฝันเป็นจริง อันนี้ทางธรรมก็เรียกว่า สุบินนิมิตร หรือบุพนิมิตร คือฝันที่มีลางบอกเหตุล่วงหน้า ทั้งดี และไม่ดี
ผมเอง แม้ว่าจะหันหน้าใฝ่ธรรมมะ อย่างจริงๆจังๆมาเมื่อหลายปีก่อนหน้านี้แล้ว แต่ก็เรียกตัวเองได้อย่างเต็มปากว่า ถ้าเป็นนักเรียนก็ ระดับเตรียมอนุบาลทางธรรม คือ ยังห่างไกลนักกับนักปฎิบัติธรรมท่านอื่นมากๆนัก ผมมักจะมึความคิด ความสงสัยถาม-ตอบกับตัวเองอยู่ในหัว ในข้อธรรมที่พบเห็นเจอกับตัวเองบ้าง เห็นจากผู้อื่นบ้าง ประมาณว่าฝันละเมอเพ้อพกเถียงกับตัวเองในฝันละกัน อยากเอามาเล่าแลกเปลี่ยนความคิด ผิดบ้างถูกบ้าง อย่าถือสาผมนะครับ
ผมมีพี่ที่รู้จัก และมีบุญคุณกับผมอย่างมากกกก ท่านหนึ่ง เป็นผู้นำบุญ บอกบุญ สแวงบุญ ทำบุญ ไว้ในพระพุทธศาสนามากมายคนนึง พี่เขาเป็นคนที่มีความฝัน ทั้งที่เรียกว่า ฝันแบบเคลิ้มๆในสมาธิ หรือฝันแบบลึกๆ (ส่วนท่านจะเรียกฝันแบบนี้ว่าอะไรก็แล้วแต่จะคิดครับ) ที่ถ้า ได้ยิน ได้ฟังแล้ว น่าจะเป็นประโยชน์กับ คนที่ทั้งเริ่ม และ ยังไม่เริ่มปฎิบัติธรรม เอาไปคิดพิจารณาดู โดยเฉพาะเรื่อง ผลของกรรม ทั้งดี และไม่ดี ว่าทำแล้วจะเกิดผลอะไรในภายภาคหน้า แต่....ผมต้องไปขออนุญาติพี่เขา ขอก๊อปปี้ ความฝันหลายๆเรื่อง เอามาลงเป็น ธรรมทาน ให้ได้อ่านกันครับ ซึ่งถ้าได้รับอนุญาติ ผมจะขอเรียกว่า "เรื่องเล่า ฝันในฝันเทวานิน" ครับ
หากข้อคิด ข้อเขียน ข้อความฝ้นละเมอเพ้อพกนี้พอจะมีประโยชน์อยู่บ้างกับใครก็ตามที่ผ่านมาพบ อ่านโดยความบังเอิญ หรือเพราะเคยมีโอกาสได้พบปะเจอะเจอกันมาแต่ภพชาติใด ชาติหนึ่ง ก็ขอให้ผลบุญกุศล เจตนานี้ จงบังเกิดกับบิดา มารดา ญาติมิตร ครูบา อาจารย์ เทวดาประจำตัว หรือที่คอยดูแลช่วยเหลือ ตลอดจนท่านเจ้ากรรม นายเวร คู่กรรม คู่เวรทั้งหลาย จงอนุโมทนา และมีส่วนในบุญนี้ด้วยกัน ทั้งหมดทั้งสิ้นเทอญ
วันอาทิตย์ที่ 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2562
ทำบุญ...10 บาท 20 บาท กับคนต่างกัน ทำไม? ถึงผลบุญไม่เท่ากันล่ะ
ปกติเช้าๆ เวลาไปใส่บาตร หรือเวลาผมเข้าวัด ภาพที่ผมมักจะเห็นบ่อยๆเลยคือ นักบุญท้้งหลาย ถ้าเลือกได้ มักจะเลือก ทำบุญกับพระที่มีอาวุโส หรือ ท่านเจ้าอาวาส แม้กระทั่งงานบุญใหญ่ๆ ที่มีการนิมนต์พระสงฆ์มาเป็นจำนวนมาก เจ้าภาพจัดงานก็จะจัดให้มีบาตร และกล่องสำหรับให้เรา หยอดเงินทำบุญ และใส่บาตร อยู่ข้างหน้าพระท่าน ผมก็จะเห็นว่า ผู้คนส่วนมาก มักจะเลือกทำบุญกับพระเกจิ หรือ พระที่มีอาวุโสก่อน เป็นลำดับแรกๆ ส่วนพระเณร หนุ่มๆ เณรน้อย ทั้งหลาย ก็จะได้รับอานิสงลดน้อยลงไปตามลำดับ นั่นเพราะเราเชื่อว่า ทำบุญกับพระเกจิ หรือพระที่มีอาวุโส จะได้บุญมากกว่า
สำหรับนักบุญทั้งหลาย ก็คงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรนะครับ แม้ตัวผมเองก็ทำพฤติกรรมที่ว่านี้เหล่ะครับ....อ้าว แล้วจะพูดทำไม?
เรื่องนี้ สำหรับคนที่ศึกษาธรรมมะ มาบ้างแล้วคงทราบดี ถึงได้มีเจตนาทำกันแบบนั้น ผมขอเอาสิ่งที่พระพุทธองค์ ทรงสอนไว้ มาบอกสั้นๆนิดนึงครับ คือ การทำบุญกับพระ หรือ บุคคลที่มีศีล ไม่เท่ากัน หรือมีบุญมากๆไม่เท่ากัน อานิสงค์ หรือผลของบุญย่อมได้ไม่เท่ากัน อันนี้สมมุติว่าปัจจัยอื่นๆที่เป็นตัวแปรเท่ากันนะครับ เช่น เงินสิบบาทเท่ากัน กำลังใจของผู้ทำมีเท่ากัน ทานที่ทำบริสุทธิเหมือนกัน ไม่ได้ไปเบียดเบียนของใครมา
ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น? ให้เปรียบเทียบง่ายๆครับ เช่น เราเอาข้าวให้กับหมา แมวกิน เอาให้คนจนไม่มีจะกิน เอาให้มิจฉาชีพกิน เอาให้พระสงฆ์แท้ๆฉันท์
บุคคลเหล่านี้ หรือสัตว์เลี้ยง เป็นผู้ที่ไปทำประโยชน์ หรือทำความเดือดร้อนให้กับผู้อื่น ไม่เท่ากันครับ การให้ของเราจึงเป็นการให้ที่ไปส่งเสริมให้เกิดผลกระทบในภายหลังที่ไม่เท่ากัน บุญจึงไม่เท่ากัน อันนี้เป็นเพียงยกตัวอย่างในเรื่องของบุญจากการทำทานนะครับ จริงๆแล้ว บุญเกิดได้จากหลายๆทาง และก็ผลของบุญจากการกระทำแต่ละอย่าง ก็ได้ผลต่างกัน ไม่เท่ากัน เช่นกันครับ
ถ้าอย่างนั้น เราควรจะต้องเลือกทำบุญ ทำทานกับ วัดดังๆ พระดังๆ ถูกต้องมั๊ยครับ บางท่านก็ว่า ฉันขอทำบุญกับวัดเล็กๆ วัดป่า ดีกว่า วัดโน้น วัดนี้ รวยแล้ว? บ้างก็ว่า งั้นไม่ให้ตัง ขอทานตามถนนแระ หมาแมว ก็ไม่ต้องให้ละ? ไม่คุ้ม?
สำหรับผม ผมคิดอย่างนี้นะครับ ผมตีความตามความเข้าใจของผมเป็นหลักคิดแบบนี้ครับ ผมอ้างอิงตามที่พระพุทธองค์ท่าน สั่งสอนว่า ทุกอย่างในโลกนี้ ให้ยึดหลักสายกลาง หรือสมดุลย์ ซึ่งสายกลาง หรือสมดุลย์ของแต่ละคนย่อมไม่เท่ากันครับ
ถ้าท่านมีเงิน มีทรัพย์ เหลือกิน เหลือใช้มากพอที่จะแบ่งปันไปได้หลายๆทาง ท่านควรที่จะทำบุญตามโอกาสที่ท่านมีครับ คือ เมื่อมีโอกาสทำบุญกับเนื้อนาบุญที่ท่านมั่นใจท่านก็ทำ มากน้อยแล้วแต่กำลังใจที่มี จะวัดดัง ไม่วัดดัง ถ้าท่านมั่นใจ ท่านทำไปเหอะครับ แต่เมื่อท่านเจอโอกาสในการทำบุญให้ทาน กับวัดเล็กๆ พระเณรน้อย หรือ คนยากคนจน ท่านก็ควรต้องทำโดยไม่ พะวงบุญที่จะได้รับครับ ว่าจะด้อย หรือน้อยลงไป เพราะกำลังบุญเก่าท่านมีเยอะจนไม่ควรพะวงแล้ว
แต่...สำหรับคนที่มีเงิน หรือทรัพย์น้อยหน่อย ไม่มากพอที่จะทำบ่อยๆ หรือ ทำแบบไม่เลือก ผมว่า...ทำแบบพิจารณาบ้าง น่าจะดีกว่าครับ อ้าว...ทำไมล่ะ?
ผมมองว่า เหตุที่เรามีทรัพย์น้อย เงินน้อย ก็เพราะกำลังบุญเก่าเราน้อย ถ้าเราทำบุญใหม่ในชาตินี้ โดยไม่เลือกบ้าง ตัวคูณที่จะช่วยกำลังบุญเรา ก็จะน้อยไปด้วย เช่น ถ้าท่านมัวทำบุญกับหมาแมว แล้วคิดว่าดีกว่า เห้อ...ตังค์ก็น้อย แล้วยังบุญน้อย เมื่อไหร่ จะได้ลืมตาอ้าปาก มาทำบุญหนักๆ กับคนอื่นเขาละครับ
แต่ว่า...ถ้าไม่มีโอกาสให้เลือก คือบางที เช่น เดินไปเจอขอทาน แล้วมีเศษสตางค์อยู่ในกระเป๋า และไม่เดือดร้อนกับเงินจำนวนนั้น (เช่นให้ไป แล้วต้องเดินกลับบ้านอีกสิบกิโล) มีโอกาส ก็ควรต้องทำเช่นกันครับ หรือบางทีไปเที่ยวต่างจังหวัด เข้าวัดไปทำบุญต่างสถานที่ บ้างก็ได้ครับ อย่าไปจำกัดว่า วัดที่ฉันทำประจำดีที่สุด ต่างวัดฉันไม่ทำ อันนี้ถือเป็นนักบุญ มิจฉาทิฐิครับ เพราะแม้แต่พระพุทธองค์ ยังไม่สนับสนุนการทำบุญโดยเฉพาะเจาะจงกับพระองค์เลย ยังให้ทำเป็นสังฆทาน ซึ่งได้บุญมากกว่าอีก
สรุปว่า...การทำบุญที่แท้จริงแล้ว โดยเฉพาะเรื่องของการให้ทาน เป้าประสงค์จริงๆแล้ว เป็นไปเพื่อการเสียสละ ไม่ยึดติดกับสิ่งของ ให้รู้จักสละออกไปเสียบ้าง เป็นเป้าหลัก ส่วนบุญที่จะได้มา ยังไงก็ได้อยู่แล้ว จะได้มาก ได้น้อย เป็นเรื่องรองที่คงต้องพิจารณาบ้าง ตามกำลัง สารรูปของผู้ทำ ทำอะไรไม่คิดพิจารณาบ้าง อันนี้พระพุทธองค์ก็ไมปลื้มครับ ย้ำครับทางสายกลาง น่าจะดีที่สุดครับ และอย่าลืมนะครับก่อนจะทำบุญ ทำทานกับคนนอกบ้าน ลองหันมามอง คนในบ้านบ้างนะครับ ว่าท่านช่วยเหลือ เกื้อกูลบ้างหรือเปล่า โดยเฉพาะ พ่อ แม่ หรือพระในบ้านของเรานี่เหล่ะครับ ส่วนพี่ น้อง ในสายเลือด หากว่าเขาเดือดร้อน ช่วยได้ ก็ต้องช่วยนะครับ สาธุๆๆ
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)