วันเสาร์ที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2562

"เรื่องเล่า ฝันในฝันเทวานิน"...นางฟ้ามาหา

ปิดกิจกรรมและงานกฐินทั่วไทย ผมก็ยังยุ่งหลายงาน
เมื่อคืน ปิดกฐินเที่ยงคืน เงินทำบุญประมาณ 9 แสน ทำบุญไปแล้วเกือบ 4 พันวัด
นอนหลับไปสักตีหนึ่ง ก็มองเห็นมือตัวเองด้านขวา ทำเป็นจีบนิ้วเหมือนรำละคร
สักพักด้านซ้ายเป็นอีก ก็ทราบว่ามีอะไรดีๆมาทำ ก็มองๆไปทำใจเบาๆ
คิดว่าเอาตามสบาย เลย สักพักมือที่จีบเหมือนรำไทย
ก็หันมาชนกัน หันหลังมือ แล้วก็บิดไปมา มีอาการขาสลับไปมาด้วย

เอ นี่มันเป็นการรำนี่หว่า รำอะไรเอามือมาชนกัน มีด้วยหรือ
แถมขายังเต้นไปด้วย เราเองก็ไม่เคยรำ
ขณะ งง อยู่ ก็มีมือมาจี้ที่เอว อย่างแรง ทำให้ลืมตาขึ้นทันที
ก็บอกไปว่า ทราบแล้วละครับว่า ตั้งแต่มือเป็นางรำ
ไม่ต้องจี้ก็รู้ เพราะ ชำนาญเรื่อง ผี ที่มาคุยด้วย

สักพักก็หลับไป ปรากฏว่า
เป็นภาพเราเดินรำไปต่อที่พื้นไม้สะอาดตา แต่รอบๆเป็นสระบัว
ใหญ่มาก เดินไปมารอบๆ เราก็เอ จะรำไปทำไมนี่
ก็ถามไปว่า ท่านมาจากไหน เสียงตอบเป็นหญิง บอกว่า "ยามา"
อ่ะ เข้าท่าเป็นนางฟ้า ก็ถามต่อไปว่า เราเป้นอะไรกัน ถึงมาจับผมรำนี่
มันแปลกพิกล ไอ้รำแบบนี้ไม่รู้จัก เคยแต่กางมือออก
หรือ ว่าเราเคยเป็นสามีภรรยา อิอิ หรือญาติพี่น้อง
ท่านบอกว่า "เพื่อน"

อ่ะเพื่อน อ๊ากกกกกก เพื่อนสาว ซวยแล้ว
อ้าว เคยเป็นเพื่อนผู้หญิง ผมก็เป็นหญิงละสิ เอ้าแล้วไง การเกิดมานาน มันสลับไปมา
แต่ว่า มันเซ็ง จะจีบนางฟ้าซะหน่อย กลับเป็นเพื่อนสมัยเราสาวๆและเป็ญหญิงด้วยกัน
โอ้ย เวงกำ ตรูไปพลาดผิดศัลข้อ 3 ตอนไหน ว่ะ

ถามต่อ ท่านชื่ออะไร ท่านตอบว่า "แหวน"
พอบอกว่าแหวน ก็คิดว่า เออ ชื่อ ok คนสมัยก่อนชื่อนี้มี
แล้วพอถามว่า ดิฉันชื่ออะไร เออ มันเปลี่ยนตัวเองเป็นดิฉัน แปลกดี
ท่านไม่ตอบ นิ่งไป อ้าว ไม่ตอบนี้แสดงว่ามีอะไร ก็เลยจะถามอีก แบบเซ้าซี้
ท่านบอกว่าเธอชื่อ "แอน"
ก็เลยสวนท่านไปว่า อ่ะ อย่ามาหลอกผม ชื่อ แอนสมัยก่อนมันจะมีได้ไง
ผมนะโดน ผีและสาวๆหลอกมาเยอะ หลอกผมไม่ง่าย

ท่านก็หัวเราะดังเลย หัวเราะแบบรื่น กร๊ากเลย
หัวเราะชอบใจมาก แล้วก็พูดทั้งๆที่หัวเราะว่า เธอนะชื่อ "แอนนี่"
อจ๊ากกกกกกกกกกกก ชื่อ ทันสมัย
ท่านบอกว่า คนยุคนี้เขาชื่อแบบนี้กันนิ
อ้าว นี่นางฟ้านี่ไม่ธรรมดา ทราบชื่อมนุษย์ในยุค 2 พันด้วย 555555
ตกลงไม่ได้ช่ือ ว่าจะถามอีกเยอะเลยว่า
เป็นเพื่อสมัยไหน อาชีพอะไร ทำบุญอะไรไปเกิดที่ยามา ไม่ถามดีกว่า

เอาไหนๆมา วันนี้ปิดกฐิน ปิดเที่ยงคืน แกโผล่มาตีหนึ่ง
ท่านมาอนุโมทนา เพื่อนสาวที่เกิดมาชาตินี้เป็นชาย
ได้ทำบุญกฐิน3 -4 พันวัด นี่ปิดบุญทราบไปถึงยามา ก็ยัง แปลกใจ
แต่ปิดบุญไปแล้วพูดได้ เพราะ ถ้าพูดก่อน ก็หาว่า โปรโมท
และเวลามาพูดมาพูดที่ กิจกรรม ทาน ศีล ภาวนา ไม่ได้ไปพูดเป็น สาธารณะทั่วไป
และที่พูดก็ เป็นเรื่องความฝัน ฝันจริงๆ นอนหลับไป ฝันไปเรื่อย เลอะเทอะ

แต่ว่า ยังไงก็ดี ถ้าท่านมาแล้ว เราก็ยินดี เลยก็นั่งคุกเข่าที่พื้นไม้
รอบๆเป็นสระบัวสะอาดตา อากาศเย็นสบาย เวลาพบค่ำ
ยกมือขึ้น2 ข้างเหมือนถวายของพระ แล้วตั้งจิต นึกไปว่า
ขอบารมีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์
พระพุทธรูปทุกองค์ที่เคยสร้าง อิฐทุกก้อนที่ทำให้พระศาสนา
เงินกฐินวัดละแค่ 100 บาท ได้อิฐไม่กี่ก้อน
แต่ทำเพื่องานพระศาสนา ที่สนับสนุน อย่างกว้างใหญ่ไพศาลไม่มีประมาณ
มีกุศลเท่าไหร่ ยกขึ้น ให้ท่าน นางฟ้าแหวน เพื่อนกัน
ได้อนุโมทนา ท่านเป็นเพื่อนกันไม่ต้องลงมาเกิด
ก็อนุโมทนาเสมือนได้ทำเองเถิด
นึกเท่านี้ ตาลืมขึ้นทันที เพราะจิตมีปีติ

เรื่องนี้เล่าสั้นๆ ให้ทราบว่า การกุศลเหล่าใด มี ผีสางเทวดา แอบดูตลอด
เพื่อนฝูง ญาติโกโหติกา ที่สัมผัสได้ ล้วนยินดีในกุศล
ทั้งสิ้น งานกฐินที่ทำ มีเพื่อนร่วมบุญเป็นพันคน
ขอกุศลนี้จงยังเกิดแด่ทุกคนที่เป้นผู้ร่วมบุญและญาติของท่านทั้งหลาย

ปล. เช้ามาถึงมาค้นดูว่า ไอ้การรำเป็นเอามือชนกันบิดไปบิดมา
เค้าเรียก ฟ้อน แบบฟ้อนเล็บ ออ แบบคนเหนือนะ เพิ่งทราบว่า มีรำแบบนี้

ความฝันนี้สนุกดีนะครับ ฝันไปเรื่อย คนฝันแบบนี้เข้าข่าย บ้าจริงๆ

วันพุธที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2562

"เรื่องเล่า ฝันในฝันเทวานิน"...พญานาค (Great Naka / Serpent)


เช้ามืดวันนี้ พอรู้สึกตัว ก็คิดว่าอยากไปเที่ยว
คนขยันเขานั่งสมาธิ คนขี้เกียจใช้นอนแล้วฝัน
อย่างว่า ความฝันคือ คนขี้เกียจแถมเพ้อเจ้อ
ฉะนั้น อย่าได้เอาอย่าง ทางที่ถูกท่านควรลุกมานั่งสมาธิ
อย่าเอาอย่างคนเลวอย่างผมนะครับ

พอนึกจะไปเที่ยว ก็ตั้งนะโม 3 จบ ในขณะที่หลับอยู่
ยังไม่ครบจบที่ 3 ก็มีความรู้สึกที่กายเบาๆ ทั่วกาย
มีอะไรมาสัมผัส ก็รอว่าเทวดาจะหิ้วไปเที่ยว
รอสักพัก กายในมันลอยขึ้นจากเตียงสูงนิดเดียว
อันนี้เป็นข้อสังเกต ของคนชำนาญเที่ยว
เพราะแล้วแต่เทวดาที่พาไป ไปมาเยอะมากจนชำนาญ

อย่างเทวดาที่มีฤทธิ์มาก พวกที่ได้อภิญญา อย่างชั้น 5
นี่มาแล้ว ลากไปทะลุหลังคา ความเร็วเท่าจรวด เพราะกำลังท่านมาก
แต่ท่านนี่เบาๆ นิ่มนวลมาก ลอยตุ๊บป่องอยู่ที่เตียง เอ มันไม่ไปไหนเลย วะ
สักพัก โดนตีขา ดังเพี้ย
เราก็ยิ้ม เพราะเมื่อเช้าวาน ก็โดนตีก้น อาการตีแบบนี้ เหมือนกันเลย
ยังนึกว่าเมือวานผีมาแกล้ง เหมือนปลุกให้ตื่น ออ ท่านนี้เอง

พอตีขา เราก็รอ เพราะทราบแล้ว  ก็ทำความรู้สึกที่กายเบาๆไว้ว่าท่านจะเอาไง
ท่านก็เหมือนมีมือมาฉุด ฉุดกายในออกจากายนอก
ฉุดแล้วมันเด้งกลับ 5555555555555555 คือมันไม่ออก
ฮาวะ เด้งกลับที่กาย ไม่พันไปจากที่นอน
ท่านทำ อยู่ 2 ครั้ง เราก็รู้แล้วว่า กำลังท่านไม่มาก
ก็ช่วยเหมือนลุกขึ้น พอลุกขึ้นก็เหมือนคนหิ้วปีก ไปในอากาศทันที

ลอยไปเบาสบายในท้องฟ้า ก็ถามว่า ท่านๆ เป็นเทวดาที่บ้านผม หรือเปล่า
ท่านบอกว่าไม่ใช่ ไม่เห็นองค์ท่าน ได้ยินแต่เสียง
เสียงผู้หญิงนิหว่า อิอิ แหมมาหิ้วปีกผม แถมเป็นนางฟ้านี่
ปกติผมเจ้าชู้ มีจีบ แต่พักหลังงูบนหัวตายหมด ก็ไม่คิดเจ้าชู้เหมือนแต่ก่อน
ก็ถามไปอีกท่านชื่ออะไร เงียบ แต่ได้ยินเหมือนคนคุยกัน
อ้าว ท่านมากี่องค์ ท่านบอก 2 องค์
อ้าวมาทีเดียว 2 เป็เทวดา 1 นางฟ้า 1 ออเข้าท่า

ว่าแล้วข้างหน้าเป็นป่า...ไม่รกเท่าไหร่ พุ่งไปเหมือนเหาะในอากาศ
ปกติผมไปเที่ยวจะสัมภาษณ์คนพาไปด้วย ก็เที่ยวไปคุยกันบนอากาศ
ท่านหิ้วปีกเบาๆ ก็ถามว่า นางฟ้าเป็นคนหิ้วหรือท่าน
นางฟ้าบอกไม่ได้ ท่านอยู่ข้างๆ เทวดาหิ้วแกไป
อจ๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกก หลงจะจีบอยู่
ความเจ้าชู้หายสนิท อิอิ นี่แสดงว่าเทวดาไม่ธรรมดา
แกรู้ว่า ไอ้คนที่แกลากไปมันสันดานอย่างไร
ความเลวมันมาก ท่านจึงแก้เผ็ดไม่งั้นมันจีบหมด

พอไปในป่าไม่รก ก็บอกท่านอยากเห็นสัตว์์แปลกๆ
เพราะ พญาครุฑเคยพาไปดูนึกเอา
ท่านก็พาเหาะไป มันมีแต่ นกเหยี่ยว นกแร้ง ธรรมดา
มันคงเป็นป่าธรรมดา ไม่ใใช่หิมพาน์
สักพักท่านพาไปที่ยอดไม้มันด้วน สูงมาก เท่าต้นตาล
ท่านก็ให้เรายืนตรงๆ...แล้วกางแขน เหมือนบอกว่า
จะให้ลองบินเอง สักพักก็ส่งเบาๆ
ให้เหาะไปในอากาศ สัก 2 วินาที มันก็ตกลง ธรรมดามากไม่กลัวอะไรเลย

สำหรับเราแล้วมันโดนแบบโลดโผนมาเยอะแล้ว
เมือ่ 4-5 ปีก่อน ท่านพญาครุฑ ท่านก็ทำแบบนี้
แต่ที่จะให้เหาะเองนี่ ใช้เท้ายันกลางหลัง ดังพลั๊ก
พออย่าได้โอ้เอ๊ เหาะไป 555555555
แต่สำหรับท่านนี้นิ่มนวลมาก ท่านก็พยายาม
แล้วพาเหาะไปในอากาศ พลิกซ้ายขวา หมุนไปมา ก็สบายดีนะครับ มันเบาสบายดี
เหมือนท่านทราบว่า พวกเก่าๆเขาลากผมไปแบบผาดโผนแบบนี้
ท่านก็เมตตาคิดว่าผมชอบ ลอยไปก็ยิ้มไป

สักพักไปในอากาศ มีต้นไม้เยอะ
แต่อยู่ดีๆ มันก็เปลี่ยนเป็นทะเลสีดำ มีดวงอาทิตย์ใหญ่
เป็นน้ำกว้างขวางไม่มีขอบเขต นิ่งสงบ น่ากลัว ลองนึกว่าเราลอยเป็นบนน้ำแบบนั้น
แต่สำหรับผมมันไม่น่ากลัว เพราะ เราฝันแค่ลืมตาก็จบ 55555555
แต่ก็ประคองต่อไป เสียงหมาเห่าข้างบ้าน ดังบ้าง
แสดงว่า สว่างแล้ว ก็ประคองจิตไว้ ถ้าสนเสียงหมามากภาพจะหายไป
สักพักก็ถามท่าน ว่าน้ำแบบนี้ พามาหาพญานาคแน่นอน
แล้ว ก็ปรากฏทาง ตรงกลาง พุ่งไปที่ต้นไม้ใหญ่
เอาทะเลหายไปแล้ว พอไปถึงมีชายคนนึงหน้าตาใจดี
ผมสั้นๆ สูงใหญ่ คือ เราแค่เข่าท่าน ท่านตัวใหญ่ขนาดไหน

แต่เวลามองไม่ต้องแหงน ท่านยืนอยู่บนต้นไม้ใหญ่
ก็ถามท่านเมืองพญานาคหรือ ท่านบอกว่าใช่
ท่านนะเป็นบริวาร แต่เป็นระดับหัวหน้าบริวาร
เจ้าของวิมานนะ อดีตเป็นชาวสวนยาง มีกุศลมาก
ก็เลยบอกว่า ขอให้แปลงเป็นพญานาคให้ดูหน่อย
ท่านก็หลับตา เหมือนกลั้นใจ แล้วสักพัก
ก็ปรากกฏ เป็นพญานาคสีดำ ใหญ่มากๆ เลื้อยขึ้นต้นไม้หลังท่าน
โอ้ โห เป็นแต่ลำตัวสีดามีขอบทองๆ ไม่เห็นหัว มันใหญ่มาก
หัวหางไม่เห็น คิดดูขนาดเลื้อยอยู่นานยังไม่เห็นหาง 5555555555

ก็เลยถามท่านว่า ทำอย่างไรจึงเปลี่ยนเป็นพญานาคได้
ท่านบอกว่า กลั้นใจและทำจิตเหมือโกรธหรือโมโห
ก็กราบขอบคุณเพราะจะไปเที่ยวต่อ
และตั้งจิตให้ท่านโมทนา กำลังทำกฐิน 3000 วัดงานใหญ่
บอกท่านช่วงนี้ทำงานใหญ่ ขอท่านอนุโมทนา
จากนั้นเทวดา ก็หิ้วไปต่อ พอลอยไปในอากาศ
ก็ได้โอกาสสอบถามเทวดากับนางฟ้าที่พาเรามาบ้าง

ถามท่านว่ามาจากไหน ท่านบอกว่ามาจาก จาตุมหาราชิกา
แต่ชั้นสูง คือ ไม่ได้อยู่ในโลกนี้ อยู่เกือบถึงดางดึงส์
ออ ปกติว่าเป็นเทดวาชั้น 1 นี่มี 3 ระดับ
คือ ภุมเทวดา+ รุกขเทวดา , อากาศ(ที่อยุ่ในโลก) และ สวรรค์ชั้น 1
ถามท่านว่าเอ้าแล้วมาพาผมเที่ยวได้ไง
นางฟ้านะตอบว่า เห็นแกอุทิศบุญทุกวัน ก็มองงมา วันไหนไม่ได้อุทิศบุญก็จะมาดู

เอ ผมอุทิศทุกวันนะ ออ แต่บางวันทำเร็วๆ คือ ง่วงบ้าง รีบไปทำอย่าอื่นๆบ้าง
จิตส่งไปไม่ถึง ก็จะลงมาดู สงสัยจะดูว่า ตายไปหรือยัง 55555555555555
ตรงนี้ เป็นความฝัน จะจริงหรือไม่ เพื่อนๆที่ถือศีลร่วมกัน
ผมแจ้งว่าให้อุทิศบุญทุกวัน เดาว่า เทวดาท่านก็อนุโมทนากันนะครับ
คิดว่าท่านก็ไม่ได้รังเกียจแต่จะรักหรือไม่ อันนี้ไม่ทราบ
ท่านพาเที่ยวก็สนุกดีแล้ว  ขณะที่เหาะ ก็สอบถามต่อ
บอกท่านเทวดาชื่ออะไร ท่านบอกว่า "ฟ้ามังกร"
โหชื่ออลังการ หรือว่า ท่านเคยเป็นเจ้าของร้านอาหารจีน อิอิ
<<กราบขออภัยที่ล้อเลียนท่าน>>

ว่าจะถามว่า ท่านกับนางฟ้าเป็นแฟนกันหรือไม่ ก็เกรงใจ ก็แกมาด้วยกัน
แต่จริงๆกลัวอกหักมากกว่า อิอิ ^^ เลยไม่ถาม
ท่านเทวดานี่สุขุมมาก พูดชัด สั้นๆ  ก็หันมาถามท่านนางฟ้า ท่านชื่ออะไร
ท่านไม่ตอบ ถามไป 3 ครั้งเงียบเลยบอกว่า เขียนก็ได้
ท่านก็ไม่เขียน ก็เส้าสี้ถามท่านอีก ท่านก็ไม่ตอบเงียบ ก็ งง ว่าทำไมไม่ตอบ

สักพัก ภาพปรากฏ เป็นยอดเขาเหมือนบ้านชาวเขา
ในป่า ก็สะอาดตา มีบ้านเยอะเลย  แล้วท่านก็บอกว่า เราชื่อ "โรงเรือง"
พอได้ยินแล้วก็ท่องไว้ เพราะชื่อจำยาก
ท่านก็บอกว่าชื่อเต็มๆคือ "กะลองโรงเรือง"
เขียนตามนี้ ท่านพูดเป็น สำเนียงภาษาเหนือ
ท่านเน้นพูดอยุ่ 3-4 ครั้ง จนเราจำได้
มิน่าที่ไม่ตอบ ท่านให้จิตเราตัดเสียงข้างนอกก่อน

พอจิตดีๆ ภาพปรากฏแล้วมันจำได้
ออ ท่านเป็นคนชาวเผ่า ทำกุศลแล้วไปเป็นนางฟ้า
เผ่าไหนไม่ทราบ แต่ต้องมีความดีพอควร
ชื่อท่านจำยากเลยไม่บอกก่อน ให้โอกาสจำได้
เพราะบอกท่านว่าจะไปเขียน พอสอบถามชื่อแล้ว ขอท่านพาไปกราบ
พระพุทธบาทพระพุทธเจ้าที่ท่านเคยแสด็จมาหน่อย
วัดไหนก็ได้ แต่เป็นพระบาทที่ท่านมาจริงๆนะ นางฟ้าย่อมทราบดี อิอิ

แล้วท่านก็พาเหาะมาที่ วัดแห่งนึง ท่านบอกชื่อเสร็จ
ไม่ขอบอกว่าที่ไหนเพราะ อาจโดนคนมองว่าไม่สำควรหรือแอบอ้าง
เห็นวิหารครอบรอบพระบาท ก็เหาะไปรอบๆ ยังไม่ลงพื้น มันสะอึกสะอื้น
อาการจะร้องไห้ มีตอนที่เจอพระพุทธเจ้าหรือเทวดาที่มีพระคุณ
อาการนี้ แสดงว่า พระพุทธเจ้ามีพระคุณมาก
มากจนตอบแทนท่านไม่ได้ มันจะร้องไห้ อาการมันมากขึ้น ถ้ามากมันจะร้องไห้
จึงรีบกราบและเหาะไปที่อื่น

ก็ให้ท่านพาไปกราบพญานาคที่มีศีลธรรมอีกองค์
ท่านพาไปที่นครปฐม จากนั้นก็อุทิศบุญขอบคุณท่าน
เป็นอันจบ ความฝันหวานของคนนอนมาก
สำหรับคนบ้าๆบอๆ ก็เป็นเรื่องสนุก ส่วนคนปฏิบัติธรรม
เขาไม่ค่อยออกนอกเรื่อง เขามุ่งตรง ทาน ศีล สมาธิ ปัญญา
แต่ผมนี่นอกเรื่อง เพราะ ทำความดีได้ไม่มาก และทำชั่วไว้มาก
จึงมุ่งทางตรงไม่ได้ดีนัก จึงมีอาการเพ้อเจ้อ ฝันบ่อย

ขออนุโมทนาในกุศลของเพื่อนๆ
ที่ร่วมปฏิบัติธรรมกันช่วงเข้าพรรษา มีเพื่อนๆอีกมากที่ทำต่อนะครับ
ผมคิดว่าทุกท่านทีร่วมถือศีลกัน ก็ปลื้มใจและดีใจเสมอ
ที่ทุกท่านทำ ทน ศีล สมาธิ ปัญญา

วันอังคารที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2562

"เรื่องเล่า ฝันในฝันเทวานิน"...[นางฟ้า]น้องที่ทำงาน ตายแล้วมาหา

                         เรื่อง [นางฟ้า]น้องที่ทำงาน ตายแล้วมาหา
น้องที่ทำงาน อายุน้อยกว่าผม 1 ปี มีลูกเล็ก เธอเสียไปด้วย มะเร็ง
ตั้งแต่ เสียไป นานปีกว่า ไม่เคยฝันถึงเลย
สุดท้าย ไปเยี่ยมที่ รพ แล้วบอกว่า ปล่อยโค กระบือกับพี่นะ
เธอเอาเงินใส่มือ....ตอนเธอป่วยหนัก...
จริงๆเคยถามเทวดา เห็นว่า อดีตชาติ เธอทำกรรมไว้มาก
คือ เห็นสภาพ เอาดินฝังศพ ใช้มือโกยเอาดินอำพรางศพ หัวกระโหลกเยอะมาก หลายสิบศพ

ผีเต็มเตียงเลย กรรมนั้น ยังมาก่อกวน จนทำให้ไม่รอดในชาตินี้
บอกเธอก่อนตาย บอกว่าผีเต็มตัวน้องเลย มิน่ามะเร็งลุกลาม
บอกให้เธอขออโหสิ คำสุดท้ายที่เธอบอกกับผมว่า
พี่จิบอย่าทิ้งหนูนะ ... ไอ้เราก็ได้แค่เอาใจช่วย กรรมเธอมาก
ได้แต่ยิ้มแล้วก็อุเบกขา เพราะ อ่อนล้ามากแล้ว
นึกว่า น้องพี่ ทำกุศลไว้แล้ว กายนี้เอาเท่าที่ได้นะน้อง

ปกติเธอกับสามีจะไปทำบุญวัดท่าซุง เรียกว่า บ่อยมากเกือบทุกอาทิตย์เลย
ว่างก็ไป ทำมาตั้งแต่ยังไม่ป่วย เรียกว่า เราเองก็สบายเพราะ น้องทำกุศลมาตลอดหลายสิบปี

มาวันนี้แปลก หลับสนิท แล้วก็มี นางฟ้าโผล่หน้ามา
หน้าเหมือนน้อง แต่สวยมาก สาวและสวยมาก มองหน้าแล้วทราบเลยว่าเป็นเธอ
มีรัดเกล้าสีเขียว ชุดเขียวทอง สวยมาก
หน้าตาสดชื่นมากนะ ยิ้มไม่มากแต่ทราบว่า สบายใจ หมดห่วง

เลยบอกว่า แหม กว่าจะมาคุยกับพี่ นานเลย
เธอก็ยิ้ม บอกว่ามาแล้วแล้วคุยไม่ได้ มาหลายครังแล้ว
ก็ถามไปเป็นนางฟ้าชั้นไหน
เธอก็พูด แต่ได้ยินไม่ชัด ก็บอกว่า ให้พูดดังๆ สมาธิพี่ไม่ดี
3 ครั้งไม่ได้ยิน ก็บอกไม่เป็นไร

นางฟ้าก็บอกว่า ดีที่เชื่อพี่ เราก็มาคิดว่า ไม่ได้บอกอะไรนิหว่า
น้องทำเอง กุศล พี่แค่สนับสนุนบอกว่า ดีแล้ว อะไรปานนี้
ไปถวายสังฆทาน ดีแล้ว พระเณรท่านนำไปต่อยอดให้

เราก็บอกว่า พี่ทำบุญได้รับไหม เธอก็ตอบว่า ได้และเห็นบุญพี่เสมอมีหลายอย่างมากมาย
ก็บอกว่า เรานะ สบายแล้ว เอาตัวรอดแล้ว คือ ตอนตายนี่สำคัญ
ถ้าจิตไม่ดี มันจะไปต่ำ รอดไปนะ ขนาดมะเร็งลุกลามมันก็ทรมาน
ยังเอาตัวรอดไปได้แสดงว่าใจใช้ได้

สำหรับพียังไม่แน่
เพราะ พระพุทธเจ้า ท่านบอกว่า กรรมตอนตายสำคัญที่สุด
ดูกรรมพี่เห็นไหม เธอก็หยุดไปนิดแล้วบอกว่า
กุศลมากมาย ก็บอกดูย้อนไปหน่อยสิ อกุศลเยอะไหม
เธอก็ยิ้ม เหมือนบอกว่า อกุศลพี่เยอะเหมือนกัน 55555555
ไอ้น้องนี่ยังรักษามารยาท ไม่ด่าเรามาก
บอกเธอว่า ประมาทไม่ได้เหมือนกัน ชั่วไว้เยอะ

คุยกันได้ไม่นานนะ สมาธิมันตกแล้ว
ก็เลยตั้งจิต ให้อนุโมทนาในกุศลทุกประการ มาเจอตอนนี้
อนุโมทนาจะได้กุศลเยอะที่สุด เพราะเจาะจงแบบจังๆ
แล้วบอกว่า พี่จะลืมตา แก ทำกายให้พี่เห็นด้วยตาเนื้อได้ไหม

เธอบอกว่า ได้พี่
เอานะ พอเราพยายามลืมตา ครั้งแรก ก็มองปลายเตียง เห็น พัดลม ที่ปลายเท้า ไม่เห็นนางฟ้า
หลับตาใหม่ ทำจิตใหม่ แล้วบอกว่า เอาใหม่ไม่เห็นแก เห็นพัดลม 5555555
นางฟ้า บอกว่า ได้พี่
ก็ประคองจิต ลืมตาช้าๆ ก็เห็นพัดลม กับ รูปที่หน้าประตู
ไม่มี นางฟ้ายืน ก็เลยบอกว่า ไม่เห็นแล้วละ
ก็หลับตาอีกครั้ง ทำจิตเบาๆ ดิ่งๆ คุยกับนางฟ้า บอกว่า
ไว้รอบหน้า ละกัน เด๊ยวจะไปเที่ยว จะไปคุยกับผีต่อ
ชอบช่วยผีที่มีความทุกข์ จะไปช่วยผี ชอบผีมากกว่าคน

จริงๆสมาธิไม่พอ คือ เวลาเห็น ผีหรือเทวดา นี่ต้องใช้ ทิพย์จักขุ
และ สมาธิต้องมีกำลังมากพอควร ถึงเห็นตาเนื้อ
อันนี้สมาธิพี่ไม่พอ เพราะอาศัยนอนเที่ยว
ไม่ได้ทำกสิณ ก็จะไม่เห็นหรอก แต่ลองดู ว่าแกจะมีกำลังขนาดไหน
แกเองก็ไม่มีฤทธฺ์มาก ที่จะดึงจิตพี่เป็นสมาธิได้ รู้ก่อนแล้วแต่จะลองดู

มีแต่เทวดาชั้นสูง หรือ ต้องพระพุทธเจ้าที่มีกำลังจิต ที่มีอานุภาพมาก
อย่างพระพุทธเจ้านี่ คนฟังธรรมท่าน ท่านจะใช้กำลังจิตของท่านที่สูงมาก
สะกดดึงจิตคนฟังให้ สบงเลย กำลังท่านมาก พอจิตคนสงบตามกำลัง
ก็เหมือนท่านแสดงธรรมเฉพาะหน้า แล้ว ท่านเก่งมาก
ท่านรู้ว่า คนนี้จะพูดอะไร จี้ที่จุด จี้ที่ปัญหา ทำให้คนบรรลุธรรมได้
แสดงธรรมครั้งเดียวคน ร้อยคนบรรุลธรรมได้ มีแต่พระพุทธเจ้าเท่านั้น
มีอานุภาพมาก ใครเกิดเจอพระพุทธเจ้า ถือว่า โชคดีมาก
พระพุทธเจ้า ท่านมีประโยชน์ต่อโลกมาก

คนนอนมากก็ฝันหวานเสมอ
เล่าให้คนชอบนอนฟังนะครับ
ไม่ถือสาคนฝันครับ

วันพฤหัสบดีที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2562

"เรื่องเล่า ฝันในฝันเทวานิน"...เจ้ากรรมนายเวรของสาวโรงน้ำชา


เจ้ากรรมนายเวรของสาวโรงน้ำชา
................................................
ก็เป็นเรื่องความฝันของ เทวานิน ที่ชอบนอนฝันหวาน
เพื่อนๆบอกว่า พี่เล่าความฝันให้ฟังบ้าง เพราะ ชอบให้คนแก่เล่านิทาน
ผมก็บอกว่า ไอ้นิทานนี่ดีมีคติ แต่นี่ คนเล่าเข้าข่ายคนบ้า
คนฟังก็ต้องเพี้ยนตามนะครับ มันถึงจะไปด้วยกันได้

เมื่อคืนหลับไปฝันว่า มีเจ้ากรรมนายเวรมา ทวงชีวิต หรือ ทวงอะไร
และมีเสียง ยุแยง เข้าใจว่าเป็น "มาร"
มารมีหลายประเภท ที่เป็นผีหรือเทวดาก็มี
แต่มารที่น่ากลัวคือ กิเลสมาร คือ กิเลสเราที่คอยหลอกเรา

ก็มีเสียงคอยบอกว่า สู้ได้ ถ้าตกลงให้เขาจัดการ
เขาจะจัดการ เจ้ากรรมนายเวร ทำอะไรไม่ได้
ไอ้เรานี่หลับ คนหลับก็ฝันไปเรื่อย ก็เลยนึกว่า พ่อแม่ครูอาจาร์ยสอนให้มีแต่เมตตา
แต่ความรู้สึกกลัวก็มี กลัวว่าจะมีอุบัติเหตุถึงเสียชีวิต ระหว่างที่ทบทวน
ภาพก็ปรากกฏว่า มีคนมาล้อม
พอแบบนี้ ในขณะที่ท่านมารก็ยุยงต่อว่า
บอกเราคำเดียวให้เป็นหน้าที่เรา

ก็ถามท่านมารว่า ท่านจะทำอย่างไร
ท่านมารก็ไม่ตอบ ขณะที่เงาดำ ก็มาล้อมเหมือนยกดาบจะฟัน
แต่ไม่รู้เจ้ากรรมนายเวรที่พวกไหน เราไปทำเขามาขนาดไหน
หมดทาง ก็ก้มกราบพระ แล้วก็นึกถึงหลวงปู่ที่ท่านบอกว่า
พระพุทธเจ้ารักพระเทวทัตเท่ากับพระราหุล
พอนึกแบบนี้ก็มีเมตตาขึ้นมาเล็กน้อย

แต่ไอ้ความกลัวตายยังมี ก็นึกว่าเอาวะ
ก็เราไม่รู้ว่าเรื่องเก่าคืออะไร เราไม่โต้ตอบ
แต่ต้องการรุ้ก่อน ฉะนั้น ถอยโดยไม่ต่อสู้
อิอิ ดูดีแต่จริงๆก็กลัวนั่นละ 5555555

จึงขอบารมี ท่านเทวดาผู้ใหญ่ท่านหนึ่ง
ก็ไม่นึกว่าท่านจะเมตตา ยังปลื้มใจจนตอนนี้
แว๊บเดียว มีกำลังมหาศาล ลากจิตขึ้นไปในท้องฟ้า
ยังกับจรวด โอ้ กำลังของท่านมหาศาล
เทวดาที่เคยพาไปเที่ยวไม่มีใครมีกำลังขนาดนี้
ขณะกำลังลอยไปบนท้องฟ้าก็รู้ว่า ท่านจะพาไปดางดึงส์
ท้องฟ้าสวยงามขึ้นเรื่อยๆ มีหลายสี ฟ้า ชมพู สวยงาม

ก็เลยบอกท่านว่า เอาแค่นี้ก่อนครับท่าน พอนึกเท่านั้น
เหมือนยังค้างใจอะไรไม่อยากไป ภาพปรากฏทันที
เห็นหญิงสาวขาวๆแต่งตัวคล้ายๆคนจีน กำลังปีนขึ้นไปบนโต๊ะ และเอาผ้ามาเช็ด
ทำความสะอาดโต๊ะเก้าอี้ ซึ่งส่วนมาก ทำจากไม้ไผ่

ก็รู้ทันที่ว่า ตนเองนั่นเองในอดีตชาติ
เวงกำ ตูดันมากเกิดเป็นสตรี
สถานที่เห็นสะอาดตา เป็นระเบียบ
แต่ไม่เหมือนบ้าน มีแต่หญิงสาวกำลังทำความสะอาด

เห็นเทวดาหญิง 2 ตน ก็ทราบว่าก๊วนกัน เลยถามท่านไปว่า ที่ใดสมัยใดละท่าน
พอสรุปได้ว่า หลังจากสมเด็จพระเวสภูพระพุทธเจ้าแล้ว
มีช่วงว่างจากพระศาสนา ก่อนภัทรกัปป์ ก่อนสมเด็จพระพุทธกกุสันโธจะตรัส
ช่วงนั้น พระศาสนาไม่มี คุณมาเกิดเป็นหญิงคนนี้
ก็ถามท่านว่า ช่วงนั้นมี พระปัจเจกพระพุทธเจ้าตรัสไหม
ท่านตอบว่าไม่มี

ถามต่อว่า บริเวณใด ของโลก ระบุแผนที่ Google mapให้หน่อย
จะไปเขียนเป็นธรรมทาน เอาให้ชัดข้อมูลต้องดี
ท่านบอกว่า โลกสมัยนั้น ย้อนไปเกือบ 1 กัปป์ แผ่นดินไม่เป็นเหมือนปัจจุบัน
แต่พอคาดตำแหน่งว่า ด้านตะวันออกของจีนช่วงนั้น
ใกล้ๆทะเล แต่แต่ดินคนละแบบนะ

ก็ถามท่านว่า ผมคือหญิงคนนี้มาเกิดทำอะไร
ท่านก็แสดงให้เห็น มีชายคนแก่สัก 60-70 ชุดดำดูมีฐานะ ภูมิฐานเหมือนชาวจีนนะ
ท่านนี้แวดล้อมด้วยสาวๆ และ ผมก็คือหนึ่งในนั้น
เห็นสุภาพสตรี อายุ 15 - 30 เกือบ 10 คน มีทั้งผอม ทั้งอ้วน

ทราบว่า บุรุษท่านนี้เป็นเจ้าของ "โรงน้ำชา"
จริงๆไม่ใช่ เป็นสถานที่ท่องเที่ยวยามราตรี
แต่เป็นบ้านที่สะอาดตา ทำจากไม้ไผ่ เป็น แหล่งเริงรมย์สมัยนั้น
เห็นนางสตรี รวมทั้งเราเองด้วย
ที่แต่งตัวประมาณกระโปรงสั้น สั้นไม่ได้มากนัก
ใส่เสื้อแขนกุด ชุดเดียวกัน เรียกอะไรไม่ทราบ คือ เสื้อกับกระโปรงติดกัน
ทุกคนใส่แบบนั้นมีลายดอกไม้ สีอ่อนออกเหลือง สวยสะอาด

สถานที่แห่งนี้ ตอนเย็นจะมีชายมานั่งกินเหล้า และ ชมนางทั้งหลาย
นางเหล่านี้จะขึ้นบนเวที และทำการแสดง ประมาณร่ายรำ หรือเดินไปมา
ชายเหล่านั้นก็จะมองดู เจ้าของนี่ไม่ใช่บังคับมา
หญิงเหล่านั้นล้วนเป็นบุตรหลานหรือคนในที่มาฝากไว้ เพื่อทำอาชีพนี้
ไม่ทราบว่ามีการขายประเวณีหรือไม่
ทราบแต่ว่าเหมือนเดินแบบ และเป็นการยินยอม
เพราะสาวๆ ล้วนได้การเลี้ยงดูจากเจ้าของโรงน้ำชาตั้งแต่เด็กมา เลยเลี้ยงดูดี

เทวดานี่ท่านละเอียดมาก ท่านบอกว่าให้ดูจริตสาวๆพวกนี้ด้วยนะ
ผมก็มองเห็นว่า แต่ละนางนี่ไม่ธรรมดา
เวลาเดินไปหน้าเวที ก็ทำอ้อนบ้าง ทำยกแขนบ้าง ด้วยเสื้อที่ไม่มีแขน
และ บางนางก็มีจริตแกล้งให้ชม ในสิ่งต่างๆ
แต่ก้ไม่มากนัก พอมองเห็นว๊อบๆแววนิดหน่อย แต่น้อยมาก
สาวๆสมัยนี้นุ่งสั้นกว่ามาก สมัยนั้นเห็นแค่ขาอ่อน
ไอ้พวกชายที่มาดูก็เฮฮา กัน ตบมือกันใหญ่

นี่ ตัวผมก็เกิดเป็นหญิง 1 ในนั้น
ตัวเล้กๆไม่อ้วนไม่สวย พอดูได้ 555555555555

เทวดา ที่พามา 
ต้องเรียกนางฟ้ามากกว่า ท่านบอกว่า เห็นคนอ้วนไหม
มีสาวอ้วน นั่นละ ดารา ประจำโรงน้ำชา

อจ๊ากกกกกกกกกก สมัยนั้นเขาชอบคนเนื้อนิ่ม 
เทวดาบอก เนื้อนิ่ม จริงๆไม่ใช่อ้วน แต่กดดูนิ่มๆ 55555555555
เป็นค่านิยม คนที่เป็นเจ้าของ ก็จะจับเด็กๆ เลี้ยงแบบทำให้เนื่อนิ่มๆ บางทีก็ตีบ้าง
ทำให้เนื้อไม่แข็งมาก และออกอวบๆหน่อยคนชอบ
เออเข้าท่า โลกนี้มันว่าไปตามสมัยนะ

พอมาถึงตรงนี้ก็ถามต่อว่า แล้วไงท่าน ตกลงเจ้ากรรมนายเวรผมอย่างไร ยัง งง อยู่
ท่านบอกเอางี้เริ่มใหม่ ย้อนกลับไปชาติแรกที่มาเกิดในสังคมโลกีย์ 
ภาพปรากฏทันที ตัวเราเป็นชาย เด็กชายวัยรุ่นชุดดำ 
กำลังถือ พัดคล้ายตาลปัตรใหญ่ๆมาก
อาการนั่งยองๆ เอาพัดปิดประตูไว้ นางโชว์แอบอยุ่หลังพัด
พอดนตรีขึ้น ตัวผมก็โดดหลบลงข้างเวที
สาวๆ เดินออกมา พวกหนุ่มตบมือกันสนั่น

เทวดาบอกมาผมมาเกิดเป็นเด็กรับใช้
ตายจากเด็กรับใช้แล้วก็มาเกิดเป็น สาวในกลุ่มนางโชว์ นี่เป็นอย่างนี้
มันวนเวียนอยุ่แต่ในกลุ่มโลกีย์นั่นละ หนีไปไม่ได้ ก็ถามต่อ เอา
แล้วเจ้ากรรมนายเวรที่มาทวงหนี้ผมคือใคร
ก็ทราบทันทีว่า เจ้าของคณะนางโชว์ เอ้าไงวะ

ภาพปรากฏว่า เราก็เดินบนเวที มีความรุ้สึกเดินตามหน้าทีนะ
ไม่ได้มีความรุ้สึกบวกหรือลบ ก็เลยทราบว่า พวกทำอาชีพพวกนี้ในปัจจุบัน
น่าจะคิดว่าเป็นงานเพื่อแลกกับเงิน ทำมันตามหน้าที
ทีนี้ไอ้หนุ่มที่มาดู มันก็มีแอบชอบนางโชว์
นางโชว์นี่แทบไม่ได้โชว์โป๊กระโปรงยาวกว่า
สาวที่ทำงานผมเยอะเลย ก็แอบมาชอบเพราะนางสวย
แต่งตัวดี สะอาด ตัวนิ่ม 55555555555

พอนึกแบบนี้ก็รุู้สึก ลำบากใจนะครับ
เพราะ คนฝันที่เป็นชายแท้ สมัยหนุ่มๆผมก็สาวเยอะ
ก็นึกว่า เออเรานี่หนีเรื่องพันนี้ไม่พ้น 5555555
ไอ้หนุ่มมันก็มาดักฉุด ฉุดเอาไปทำเมีย
ผมก็เออ นี่ตรูเคยโดนชายฉุดด้วย 55555555 นึกแล้วทำใจไม่ถูก เวงกำจริงๆ

ฉุดหายไป เจ้าของโรงน้ำชา หาตัวไม่เจอ ก็คิดว่าหนีไปกับชาย
ป๊ะ เข้าใจแล้ว เจ้าของแกก็โกรธเคือง โห เล่ามาตั้งนานเพิ่งเข้าใจ 5555
เดาว่าเจ้าของโรงน้ำชาตายไปแกคงตกนรก
เดาเอาว่านานเกือบกัปป์จะจริงหรือเปล่าเทวดาไม่ได้บอก
นึกเอาเอง พอแกพ้นโทษ ผ่านมาเจอผมนอนอยู่
ก็เห็นเป็นนางโชว์ที่แกเคยเลี้ยงดูมา
เข้าใจว่านางนี่ หนีตามชายไป

เห็นไหมครับว่า ผีก็เข้าใจผิดได้เหมือนคน
ไม่ใช่ว่าตายไปแล้วจะทราบหมด ไม่รู้ทราบมายังไงก็ยังงั้น
ก็เคืองแค้น ไอ้ผมก็อกัตตญู
เป็นเมียเขาแล้วก็ไม่เคยไปทดแทนพระคุณเจ้าของโรงน้ำชา
แต่ก็ไม่ทราบเพราะอะไร อาจกลัวสามี

เอาว่าเรื่องนี้ทำให้รุ้ว่า...
1. คำว่าเจ้ากรรมนายเวรที่โกรธเราอาจเข้าใจกันไม่ตรงก็ได้
ก็ไม่ควรกลัวหรือทำร้ายกัน ให้พูดคุยและมีเมตตา อโหสิกันนะครับ หาวิธีนะครับ 
ส่่วนเจ้ากรรมนายเวร ที่เราเคยทำเขาก็มาก มาทุกวัน ต้องขอขมาบ่อยๆนะครับ 
และอุทิศบุญให้ทุกชีวิตทุกวัน
ดังที่ผมจัดกิจกรรม ทาน ศีล ภาวนา บังคับให้เพื่อนๆอุทิศบุญที่ทำดีทุกวันห้ามขาด
ก็เพื่อจะได้หลุดกรรมเวรซึ่งกันและกันนะครับ

2. การเกิดของชีวิตเป็นมหันตทุกข์
ถ้าทำความดี ให้อธิษฐานคุ้มไม่ให้ไปเกิดในที่ที่จะทำให้ตกต่ำเด็ดขาด 
ให้อธิษฐานว่า ถ้าเรายังไม่ถึงนิพพาน ให้เกิดเจอพระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า
ให้มีสัมมาทิฏฐื และ เจอบัณฑิต ให้อยุ่ในปฏิรูปเทศ คือ เขตที่ไม่มีสงคราม ไม่มีการทำร้ายกัน ไม่มีอบายมุข ไม่ไปหลงและเกี่ยวข้องกับ ทางฉิบหาย ทางเสื่อม
ไม่เจอเพื่อนเลว ไม่เจอคนพาล ไม่อยุ่ในครอบครัว
มิจฉาทิฏฐิ ไม่งั้น ท่านจะเหมือนผมหลงวนเวียนไป กว่าจะกลับมาได้ นานครับ

3. เทวดาบอกว่าเศษกรรมจากการเป็นนางโชว์ ติดนิสัยมาอยู่ทุกวัน
คือ เวลาเจอสาวๆ นุ่งสั้นแล้วจะชอบมอง จริงไหม
อิอิ อิอิ ไม่ตอบครับ 555555555555
เออ เราไปโชว์ไว้ก่อน กลับมาก้มาต้องชอบเรื่องนี้
ฉะนั้น น้องๆสาวๆที่ชอบนุ่งสั้น ต้องระวังนะครับ
เล็กๆน้อยๆนี่ละครับ ก็มีกรรมชาติใดเกิดเป็นชาย
ก็ต้องวนเวียนเรื่องนี้ ถ้าไม่มีศีลกำกับก็กลับไปตกต่ำ

เล่ามาตั้งนาน ฝันนะครับ ฝันจนเหนือย
ฝันละเอียดแบบนี้มีคนเดียว เทวานิน แก็งค์ลุกหมี 
อิอิ 555555555555

วันอาทิตย์ที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2562

"เรื่องเล่า ฝันในฝันเทวานิน"...ผีเปรต


ผีเปรต
....................
หลังจากไปเมืองพญานาค มาหลายตอน
ครั้งก่อน ไปดูผี ที่มีกรรมฆ่าสัตว์ปีก และกลายเป็นผีอยู่ใต้ต้นไม้
และ ไปคุยกับ นางฟ้าคนธรรพ์ ที่ชีวิตเป็นนางแบบ
เสพยาจนตาย แต่ จิตก่อนตายดีจนพ้นนรก

รอบนี้ ยังฝัน วนๆกับเรื่องผีต่อไป
กลางดึกสักตี 4 พอรู้ว่าฝัน ก็รอสักพัก รอบนี้ทำใจเบาๆในฝัน
ไม่เห็นมีเทวดา นางฟ้า พาไปเที่ยว รอสักพัก ก็เลยเอาวะ ไปเอง
วิธีไปเพื่อนๆก็คุ้นกัน ต้องอาศัยบารมีพระรัตนตรัย ก็ขอบารมีพระนั่นเอง
พออาราธนาจบก็ลอยไป การลอยแบบนี้ไม่โลดโผนเหมือนเทวดาพาไป

เทวดาแกจะมีลูกเล่น หมุนมาหมุนไป ก่อน
แล้วแต่ท่านที่พาไป ถ้านางฟ้าก็เหาะไปตรงๆ
เต็มที่ก็มีถอยหลัง แต่พวกพญานาคนี่ มีมุดดิน
ก็นึกว่า รอบนี้อยากดูเปรตบ้างไม่เคยเห็นในฝันเลย
เราอาศัยฝันนี่ สบาย เพราะไม่มีความดีอะไร
ไม่มีสมาธิ ไม่มีณาน ใช้ฝันหวานไป

พอนึกเท่านั้น ก็ปรากฏภาพต้นไม้ใหญ่
ต้นไม้นี้แปลก มันมีลำต้นหลายลำต้น
เหมือนเป็นรากอากาศ ประมาณ 4-5 ลำต้น
เอาละจะได้ปีนไปดูเปรต เพราะเปรตตัวสูง มองไปไกลๆจะได้เห็น

อยู่ห่างๆกัน เทวดาไม่ได้พามา ก็ปีนขึ้นไปเอง
นึกถึงเทวดาก็ตรงนี้ ไม่ต้องปีน ปีนไปเรื่อยๆ ต้นไม้อะไรไม่มีใบ
ปีนไปได้สักพัก ก็มองไปในท้องทุ่ง
มองไปมา เปรตอยู่ไหนหนอ เปรตตัวสูงๆ
มองเห็นทิวเขา ต้นไม้ ไม่เห็นมีเปรต

ก็ปีนไปอีกนิด ไปเจอโพรงอะไรไม่รู้ ก็เข้าไป
พอเข้าไป แปลก ไอ้โพรงไม้นี่ มันขยับได้
เอาแล้วไง ตรูแล้ว
อจ๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก

พื้นขยับเบาๆ พื้นเป็นไม้แข็ง ด้านบนเหมือนหลังคา
เออะไรวะ เหมือนเข้ามาอยุ่ในปากใคร เหมือนมีลิ้น
แต่ไม่ใช่ มันอะไรวะ

พอรู้ว่า ตรูเข้ามาในตัวเปรตแล้ว
ก็รวบรวมกำลังใจ ถามไปว่า ท่านๆ เป็นเปรตหรือเปล่า
เสียงเบามาก ต้องถามไปหลายครั้ง และตั้งใจฟัง
เสียงเบาอ่อนๆ บอกว่า ใช่

พื้นแข็งขยับไปมา ตลอด ตัวก็โอนเอนไปมา
เอาวะ มองไม่เห็นตัวเปรตแต่ดันมาอยู่ในตัวเปรต
คิดว่า เปรตในโลกนี่กรรมเบาแล้ว แต่ยังหนักกว่าผี
ก็นึกอุทิศบุญให้ พออุทิศบุญให้แล้ว

ภาพหายหมด พื้นที่แข็งเพราะเป็นต้นไม้ที่เรายืนก็หายไป
วับเดี๋ยว มองไม่เห็นอะไร ก็ถามไปในความมืดๆว่า
ท่านๆ พ้นจากเปรตยัง ก็มีเสียงเบาๆ ฟังไม่ออกหญิงหรือชาย
บอกว่า เราเบาแล้ว สบายขึ้นมาก

เอาวะ คลายจากเปรตแล้ว ปกติต้องเห็นว่า เป็นผีสิ
จากเปรตก็มาเป็นผี แต่ไม่เห็นตัว
ก็ถามไปว่า ท่านๆ ทำไมมาเกิดเป็นเปรตนี่
เสียงเบามาก ต้องอาหูแนบ แนบไปในความมืดนะ
บอกว่า ทำแท้ง

เราก็ พวกสุภาพสตรีที่ไม่พร้อมมีมาตั้งสมัยก่อน สมัยนี้ทำกันมากกว่า เสียอีก
เอาๆ ผ่านไปแล้ว

ก็ใช้วิชาเดิม อุทิศบุญต่อไป อุทิศบุญให้ท่านโมทนา
สักพัก ปรากฏร่างชายผิวดำ อายุสัก 40 กว่า
ดูเหมือนคนใช้แรงงาน เสื้อไม่ได้ใส่ ผมยุ่ง เดินมา แล้วก็มองหน้าเรา
ถามไปว่า ท่านๆ เบาแล้วใช่ไหม
ท่านก็ยิ้ม เสียงเป็นชาย เอาเป็นชายหรือ นึกว่าเป็นหญิง

ท่านเล่ากรรมท่านมาให้ฟังหน่อย
แกก็บอกว่า ผมนี่กับสตรีนางหนึ่งมีความรักกัน แล้วก็ได้เสียเป็นเมียผัว 
จากนั้นหญิงนางนั้น ตั้งท้องและท้องแก่ 
อีท่าไหนไม้รู้ ก็พากันไปเอาเด็กออก

อีตาชายนี่สนับสนุนเต็มกำลัง พอแกพูดมาตรงนี้
ผมก็ทราบทันที่ว่า รูปร่างอีกตาเปรตนี่ เป็นอย่างไร
คือ มีขาเป็นไม้ หลายขา สูงๆ ไม้แบบไม่สมประกอบ
เพราะว่า ผมปีนมาแล้ว หัวกับตัวเป็นส่วนเดียวกัน
คือ เป็นมดลูก ไอ้ที่ผมเข้าไปนั่นละคือ มดลูก
555555555555555 เอาวะ

คือเปรตแบบนี้ ต้องแบกมดลูกไว้ ด้วยขาที่ไม่สมประกอบ
มดลูกเป็นไม้หนักมาก ปากก็ไม่มี คงหิว โหยมาก
แต่ถือว่า กรรมน่าจะน้อยมากแล้ว จึงมาเป็นเปรตที่โลกมนุษย์ อุทิศบุญให้ก็พ้น

ก็คุยกับแกไม่มาก เพราะแกเป็นผีแล้ว ผีที่ทราบว่าตนเคยชั่วนี้ดีกว่า
คนที่ไม่ทราบว่าตัวชั่ว
นิทานเรื่องนี้ ทำให้รู้ว่า ไอ้กรรม ที่ทำครั้งเดียวมันแผดเผา
ชายนี่ สนับสนุนคนรักไปทำแท้ง ก็ไปตกนรกมานานสุดๆ
มีโทษเท่ากับคนทำแท้ง แล้วมาเป็นเปรต 
ดัง คำพูดของพระพุทธองค์ว่า


กตํ ทุกฺกฏํ เสยฺโย ความชั่วอย่าทำเลยดีกว่า

จบนิทานความฝัน ของคนกินมากนอนมากฝันบ้าๆบอๆ

วันพุธที่ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2562

"เรื่องเล่า ฝันในฝันเทวานิน"...ผีเด็กที่โรงแรม


ผีเด็กที่โรงแรม
....................
เมื่อ วันที่ 5 ธค
ผมมีธุระที่จังหวัดนึง
ผมไปงานศพ คุณแม่ลูกน้อง ไปแบบด่วนและรีบกลับเครื่องวันเสาร์
คือ ไปวันศุกร์ วันเสาร์ก็บินกลับทันที เพราะมี งานบุญที่มูลนิธิหลวงปู่มั่น

วันศุกร์ไป วัดเสร็จ แต่กว่าจะเข้าไปพัก check in ก็ 3 ทุ่มกว่า เหนื่อยมาก
อาบน้ำเสร็จ ก็ทำงานพระศาสนาต่อ จนเกือบเที่ยงคืน
เพราะ เพื่อนๆร่วมบุญมาหลายงาน ต้อง update ตลอด

รอบนี้มา รีสอร์ทที่ห่างจากตัวเมือง น่านอนอากาศดี บรรยากาศ ok
ผมนอนคนเดียว น้องอีกสองคนพักอีกห้อง
ก่อนนอนก็ไหว้พระ สวดมนต์และอุทิศบุญ อันนี้ทำทุกวัน ไม่ขาด

จะนอนแล้วนึกอย่างไร อ่ะ มาต่างที่
เอาพระ คำข้าว สมเด็จองค์ปฐม วางไว้ที่หัวนอน
นอนหลับไป น่าจะตี 3-4 ก็ตื่นมา อากาศกำลังดีไม่ร้อนไม่หนาว
ลุกมาเข้าห้องน้ำ แล้วก็นอนต่อ ok หลับไปสนิท

เตียงที่นอนเป็นเตียงเดี่ยว ใหญ่ดี นอนข้างเดียวด้านขวา
มันรู้สึกว่า มีคนมาดึงผ้าห่ม ดึงสักพักรู้สึกเคลิ้มๆ ยังหลับนะครับ
แต่สักพัก ดึงแรงมากแบบกระชากเลย พอกระชากเท่านั้น
กายในผมหลุดมายืนปลายเท้า ห้องที่มืดสว่างออกหมด

เห็นเด็กชายคนหนึ่ง มองหน้าผมยืนอยู่หัวเตียงอีกด้าน
กำลังกระชาก ผ้าห่ม พอมองเห็นผม ผมก็บอกว่า
คนหรือผี
เด็กก็เงียบ หน้าตาก็เป็นเด็กชาย อายุสัก 4-5 ขวบ

ผมก็เอาไงวะ ผีนิหว่า นี่ผีมาเจอคนบ้า
ไอ้คนบ้าอย่างผมนี่มันแปลก แทนที่จะโกย
มันจะสัมภาษณ์ผี คนปกติเขาไม่ทำกัน เพราะเขาเป็นคนปกติ
แสดงว่า พวกสัมภาษณ์ผี นี่ไม่ปกติคือ บ้า อิอิ

ผมก็ถามว่า ตายนานยังหนู ไอ้หนูมันไม่ตอบ
เออ แทนที่จะช่วยกันทำมาหากิน มาแกล้งเขาไม่ดีนะ
ไม่ตอบ มองหน้าผมแบบ งง
ผมเป็นมันก็ งง ละครับ ปกติผีมาหลอก คนก็ต้องกลัว มันต้องร้องโวย นี่ไอ้บ้า
นี่มายืนสอบถาม 555555555

ผมถามว่า อยู่ที่ไหน ที่รีสอร์ทนี่หรือที่อื่น แบบเวียนมาเจอ
ผีก็ชี้ๆ ไม่ไกลนัก โอ้แถวนั้นมันรกร้างนิหว่า
บ้านคนก็มีนะ แต่ไกลหน่อย

ชื่ออะไรละ?
ผีเด็กตอบว่า "นภดล ..." บอกนามสกุลหมด
ยาว 4 พยางค์ เลยเออ ลุงจำแค่ชื่อแกนะ
นามสกุล ไม่จำ ถึงจำ ก็ไปเล่าให้ น้องๆที่ facebook
(พวกชอบคนบ้า) ไม่ได้ มันไม่ควรจะมาเขียน

ผมถามต่อ ตายอย่างไร ก็รอว่าจะตอบอย่างไร
เอ้าไอ้หนู มันทำกายมันมี จุดๆ ขึ้นเต็มตัว
ออ ออ แบบว่า เป็นโรคอะไรสักอย่างเช่น หัด ไข้เลือดออก
หรือ อีสุกอีใส หรือ อะไรที่ขึ้นเต็มตัว มันจะตายเลยหรือ
หรือคนบ้านนอกไม่ได้ไปหาหมอ พวกไข้เลือดออกก็ตายได้ หรือ เอสด์ว่ะ
ผีก็ไม่รู้มันเป็นเด็ก

ว่ะพึงไม่ได้เลย เป็นผีมันต้องรู้สิ หวยก็ต้องรู้
อะไรว่ะ ตายด้วยโรคอะไรไม่รู้ ทำให้ดูได้
แต่ภาพที่ทำให้ดูน่ากลัวนะครับ
แล้วมันก็เศร้าๆทันที ก้มหน้าเศร้าๆ

เอาละ จะช่วยผีหน่อย
บอกว่า ไอ้หนู มองบนหัวลุง บอกเห็นอะไรไหม
มันบอกไม่เห็น อจ๊ากกกกกกกกกก
นี่สาวๆ มองบนหัวลุง ก็จะเห็นงู
แต่ไอ้เด็กนี่ไม่เห็นอะไร

เอาใหม่ แกลองมองดูนะ
ไอ้เราก็นึกถึงพระสิ นึกถึงว่าสร้างพระมันทุกวันนิหว่า
แล้วฝากพันทธุ์เทพ สร้างสมเด็จองค์ปฐมทุกวัน
บุญเดียวน่าจะพอ ยกพระขึ้นหัว
นึกแบบตัวเราก็ไม่เห็นภาพพระนะ
นึกถึงบุญนะ บุญที่สร้างพระ

แล้วถามมันใหม่ เห็นมะ
เด็กตอบว่า ไม่เห็น
อะไรว่ะ เฮ้ย ผีตัวอื่น พอนึกพระเค้าเห็นกันหมด จะได้โมทนาแล้วไปสวรรค์
เอาว่ะ นึกใหม่ นึกถึงกุศล ทำทานอะไรมา ก็พอทำไปบ้าง
แล้วบอกเห็นไหมบนหัวลุง ยกทานบารมีไว้บนหัว
ยกไว้เหนือหัว เพราะ สังฆทานของสูง มีค่าเหนือหัว
กะว่า มันจะบอกว่า ลุงเยอะจัง

มันส่ายหน้า แป่ว
โอ้ยยยยยยยยยยย ยากโว้ยยยยยยยยย
ใจจริงก็ไม่ยากจะช่วย เป็นผีเด็ก นี่ถ้าผีสาวๆ เออ น่าช่วยหน่อย อิอิ
เอาไงดีว่ะ มันไม่เห็นกุศลเราเลย
ถ้ามันเห็น ก็จะอนุโมทนาได้ จะได้ไปเป็นเทวดา
มันไม่เห็น จนปัญญาแล้ว  เอาว่ะมุกสุดท้าย อธิบาย ก็ได้วะ

นี่ๆไอ้หนู อนุโมทนาหรือยินดีในความดีคนอื่นมันเป็นกุศล
ยินดีว่า คนเขาไปทำบุญมา ทำความดีมา เราเห็นเราก็เออ
ดีแบบนี้ ยินดีเขา พอเรายินดี กุศลที่ยินดีก็เกิดที่จิตเรา
เราก็เบากายเบาใจ แบบนี้ เข้าใจไหม
ทำเป็นม่ะ ลองทำใจดู ไอ้หนู

มันส่ายหน้า จ๊ากกกกกกกกกกกกก
ผีเด็ก 4-5 ขวบ มันไม่เข้าใจว่ะ เพิ่งตายความรู้อะไรก็ไม่มี
มันก็เวียนๆรออยู่แถวนั้น
โอ้ย พอก่อน ก็บอกว่า เอาแค่นี้ ลุงช่วยแกไม่ได้
แกก็อย่าไปแกล้งใครนะ มันไม่ดี อยู่ในส่วนแก

มันมองหน้า แล้วบอกว่า จะไปกับลุง

อจ๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก
เฮ้ย แกมันเด็กชาย ถ้าเด็กสาวรุ่นละพอไหว
เลี้ยงแกนี่ไม่ได้ เทวานิน ไม่เลี้ยงผี
ทำแต่กุศล ผีก็อยุู่ส่วนแก เทวดาละเอา ผีไม่เอา
โว้ยยยยยยยยยยยยย มีโวยวายใส่ผี
นี่แสดงว่า คนบ้าจริง

มันมองที่เท้าแล้วบอกว่า จะตามไป

ว่าจะด่าแล้ว เดี๋ยวว่าใจร้าย นึกบอกว่าแกมาก็เข้าบ้านไม่ได้
บ้านลุงมียามเฝ้า เข้ามายามก็ถาม เดี๋ยวโดนยามเต๊ะ กระเด็น
ตัวใครตัวมันนะ แกก็ประคับประคองไปจน หมดอายุแล้วค่อยไปเกิด
ช่วยไม่ได้ ว่ะ case นี้

เช้ามา ตื่น ผมก็รอฟังน้องๆที่พัก
น้องบอกมีคนมาเดินรอบเตียง และเห็นเงาคนเข้าห้องน้ำ นั่นอีกห้อง
ผมอมยิ้มเงียบๆ ไม่ได้พูดอะไรเดี๋ยวน้องกลัว
วันนี้ไปทำบุญหลายที่ก็ลืมอุทิศบุญให้นะ

เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ไอ้คำว่า ยินดีในความดี หรือ มุฑิตา/อนุโมทนา
นี่มันไม่ง่ายสำหรับคนที่ไม่เคยเข้าใจ
ฉะนั้น คนเราต้องทำความดีไว้ และ ฝึกใจให้ยินดีในกุศลที่คนอื่นทำด้วย

ขำขำนะครับ คนแก่ฝัน อย่าถือสา คนบ้าๆบอๆ คุยในกันหมู่เพื่อน

วันจันทร์ที่ 3 มิถุนายน พ.ศ. 2562

"เรื่องเล่า ฝันในฝันเทวานิน" ไปยังไง มายังไง?

         
           "เรื่องเล่า ฝันในฝันเทวานิน"  ไปยังไง มายังไง? ผมคงต้องเล่าถึงเจตนา ของพี่เทวานิน ก่อนนะครับว่าทำไมพี่ท่านถึงเอาเรื่องเล่าในฝันมาลงในเพจของพี่เขา
          พี่เทวานิน เป็นผู้ที่อุทิศตัวเองในการช่วยเหลือพระพุทธศาสนา มาตั้งแต่เมื่อไหร่ อันนี้ผมเองก็ไม่เคยทราบ และไม่เคยได้ถามไถ่พี่ท่านมาก่อน แต่เชื่อว่าน่าจะนานพอสมควรแล้วหล่ะครับ เคยบวชเป็นพระมาแล้ว และได้ทำบุญสร้างกุศลมามากมาย รวมทั้งได้ตั้งเพจบุญ (ใครอยากทราบเพจกลุ่มบุญนี้ หลังไมค์มาสอบถามได้ครับ ไม่กล้าออกตัวแทนกลัวพี่เขาวุ่นวายครับ)เพื่อรวบรวมผู้มีจิตศรัทธา ทำงานเพื่อพุทธศาสนา บอกบุญ ช่วยเหลือพระ วัด ทำทาน ปล่อยสัตว์ ต่ออายุสัตว์ต่างๆ เรียกว่าเป็นกองทุนในการช่วยเหลือ ทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา และเชื่อมสายบุญให้กับเหล่าญาติธรรม กัลญาณมิตร นักสร้างบุญ สร้างบารมี ทั้งหลายได้สั่งสมบุญบารมีกัน
          พี่เทวานินเริ่มเอาเรื่องเล่าความฝันของตัวเอง มาเล่า เขียนลงในเฟสบุญ ตั้งแต่เมื่อไหร่ผมก็ไม่ทราบครับ แต่ผมเองเป็นคนที่ชอบเรื่องแบบนี้อยู่แล้วครับ ตั้งแต่เริ่มเห็นข้อเขียนเรื่องเล่านี้ ผมก็เลยไม่ค่อยพลาดในการติดตามอ่านมาตลอด โดยที่เจตนาในการเล่าเรื่องความฝันนี้ของพี่เทวานิน คือ เพื่อให้เป็นข้อคิด ความรู้ กำลังใจ และเตือนสติ พวกเราว่า นรก สวรรค์ กรรม ภพชาติ นั้นมีจริง ผ่านความฝันของพี่เขา ส่วนท่านผู้อ่านจะคิดพิจารณายังไงก็ตาม เป็นวินิจฉัยส่วนตัวของแต่ละท่านนะครับ เชื่อก็ให้เกรงกลัวในบาป แล้วนำไปปฎิบัติ ก็จะเกิดเป็นผลบุญกุศลต่อไป ไม่เชื่อก็ข้ามๆไปนะครับ
          ผมจะลงเรื่องเล่านี้โดยการก๊อปปี้ข้อความ ข้อเขียน มาโดยไม่ตัดทอน(สรุป ขออนุญาติพี่ท่าน มาแล้วนะครับ) ส่วนภาพประกอบ ผมจะพยายามทำขึ้นเองบ้าง อาจจะใกล้เคียงแนวเรื่องหรือไม่ใกล้เคียงบ้าง คงไม่ว่ากันนะครับ เพราะรูปภาพประกอบของที่อื่นผมกลัวลิขสิทธ์ในภายหลังครับ ส่วนลำดับเรื่องอาจจะเรียง หรือไม่เรียง ตามวันเวลาที่พี่เทวานิน ฝัน คงไม่น่าจะเป็นประเด็นสำคัญมากนัก
          หากข้อเขียนบทความเหล่านี้ ยังประโยชน์กับผู้ที่เข้ามาอ่านแล้วละก็ ขอให้ผลบุญกุศล เจตนานี้ จงบังเกิดกับ พี่เทวานิน บิดา มารดา ญาติมิตร ครูบา อาจารย์ เทวดาประจำตัว หรือที่คอยดูแลช่วยเหลือ เทวดาผู้นำพาเจ้าของเรื่องพาทัวร์ อีกทั้งเทวดา และหรือสัมภเวสีเจ้าของเหตุการณ์  ตลอดจนท่านเจ้ากรรม นายเวร คู่กรรม คู่เวรทั้งหลาย ของข้าพเจ้า จงได้อนุโมทนา และมีส่วนในบุญนี้ด้วยกัน ทั้งหมดทั้งสิ้นครับ
          

วันศุกร์ที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2562

ลูกศิษย์วัด...ต้องระวัง?

           
             ลูกศิษย์วัด...ต้องระวัง? อ้าวทำไมหรือครับ...ระวังอะไร ระวังทำไม? วันนี้ผมจะเอาเรื่องนี้มาบอกกล่าว กระตุ้นเตือนกันหน่อยครับ
            ลูกศิษย์วัดในที่นี้ของผม ไม่ได้หมายถึงเด็กวัด ที่คอยเดินตามพระเณร ถือถุงย่ามเวลาท่านออกบิณฑบาตรในตอนเช้าๆนะครับ แต่ผมหมายถึงลูกศิษย์ลูกหา ของพระเกจิ พระอาจารย์ ทั้งหลายที่ตัวเองนับถือเคารพ กราบไหว้ บูชา ฟังธรรม และหรือคอยทำบุญด้วยเป็นประจำ ซึ่งส่วนใหญ่แล้ว ท่านเหล่านี้เป็นผู้ที่ยึดมั่น และปฎิบัติธรรม ศึกษาธรรมกันมาไม่มากก็น้อย มากบ้าง น้อยบ้าง ตามอุปนิสัยก็ว่ากันไปครับ ส่วนมากแล้วเมื่อศรัทธาในพุทธศาสนา ก็จะศรัทธาในพระเกจิ พระอาจารย์ ศรัทธาในวัดที่ท่านจำพรรษาอยู่ จนเกิดเป็นความคิด ความรู้สึก เป็นอัตตาว่า ฉันลูกศิษย์วัดนั้น ฉันลูกศิษย์วัดนี้ ฉันลูกศิษย์พระองค์นั้น ฉันลูกศิษย์พระองค์นี้ โดยที่พระคุณเจ้าท่าน บางทีก็ไม่ได้รู้เรื่องด้วยหรอก
              ซึ่ง การที่เรามีพระรัตนไตร เป็นที่พึ่ง ที่ยึดเหนี่ยวจิตใจ เป็นเรื่องดีสิครับท่าน   แต่เชื่อว่าเราคงเคยได้พบเจอ ลูกศิษย์วัดบางท่านออกอาการแบบนี้ครับ
             -มาวัดนี้สิ พระอาจารย์ฉันดี ขลัง เก่ง โอ๊ย...วัดโน้นเหรอ วัดนี้เหรอ...บลาๆๆๆ
             -พระอาจารย์ฉันสิ ท่านสอนว่าอย่างนั้น อย่างนี้ ท่านว่าให้ปฎิบัติอย่างนี้ สายอื่นไม่ดีหรอก สายฉันนี่สุดจัดปลัดบอก
             -พระวัดโน้นเหรอ เห็นเป็นข่าวอยู่ ไม่เอาหรอก วัดนี้เหรอ เห็นเพื่อนในเฟสว่าไม่ดีอย่างนู้น อย่างนี้
             -วัดโน้นเหรอเธอ ไม่ไปหรอกรวยแล้ว นี่ต้องวัดป่าที่นี่สิ สอนให้ไม่รับเงิน ดูน่าเลื่อมใสดี
             ทั้งหลายทั้งปวงนี้ที่ได้ยินได้ฟังมา แล้วก็เอามาพูดเกทับกันว่า วัดฉันดีกว่า พระอาจารย์ฉันสิดีกว่า ผมเชื่อว่า พระท่านไม่ได้รู้เรื่องด้วยหรอกครับ และถ้ารู้เข้า ท่านก็คงไม่ยินดีด้วยหรอกครับ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องจริงหรือไม่จริงก็ตาม เราไม่มีทางรู้หรอกครับ
             ที่ผมบอกว่า...ลูกศิษย์วัดต้องระวัง? ก็คือ พระท่านสอนเอาไว้ว่าเรื่องแบบนี้มันมีผลเป็นกรรมครับ และมีโอกาสเป็นกรรมไม่ดีซะส่วนมากครับ เพราะว่า การที่เรายึดติดกับ พระ หรือวัด แล้วเอาไปเปรียบเทียบ ยกตนข่มท่าน มันเป็นโอกาสสร้างกรรมกับพระ หรือวัด อื่นๆ โดยทั้งเจตนา และไม่เจตนา ต่อให้เป็นเรื่องจริงหรือไม่ก็ตาม เป็นการสร้างบาปให้กับตัวโดยไม่ใช่เรื่องที่ควรกระทำ เป็นการเอาขาข้างนึงไปฝากไว้กับท่านพยายม โดยไม่ใช่เหตุเลยครับ
             อีกอย่าง พระพุทธองค์เอง ก็สอนให้ละวาง ไม่ยึดติดในตัวบุคคล หรือวัตถุ ท่านสอนให้ยึดในพระธรรมคำสั่งสอน ของท่านเป็นหลัก ซึ่งการนับถือครูบา อาจารย์ กับการยึดติด มันคนละเรื่องกันนะครับ
             การที่มีครูบาอาจารย์ ให้ยึดถือเป็นหลักเป็นเรื่องดี แต่ไม่ควรเอาท่านไปเปรียบเทียบกันเอง หรือหมายเอาเองว่า พระวัดที่เราไม่ชอบนั่นไม่ใช่พระ ท่านจะชอบหรือไม่ ก็เก็บไว้ในใจเป็นการส่วนตัว แค่นี้ก็เป็นบาปในใจ หรือมโนกรรมแล้วครับ อย่าเลยเถิดไปถึงวจีกรรม หรือกายกรรมเลยครับ
             ในบางกรณีที่ท่าน มั่นใจ หรือปลงใจว่า พระที่ท่านเห็นพฤติกรรม ไม่ตรงกับ สมณสารูป ไม่น่าใช่พระ ท่านก็ต้องทราบว่ากรณีไหนที่เป็นเรื่องของผู้ที่เกี่ยวข้อง ต้องรับเรื่องไปดำเนินการ ท่านไม่ใช่พระ ไม่ควรเข้าไปยุ่งเกี่ยวเองนะครับ ท่านจะเชื่อบ้านเมืองหรือไม่ ก็ไม่ใช่หน้าที่ของท่านอีกนั่นเหล่ะ ท่านไม่ควรก้าวก่ายครับ เวรกรรมมันจะเป็นของคนที่ทำเองครับ ถ้าท่านเชื่อในผลของกรรม บางครั้งเราก็ต้องรู้จักวางอุเบกขาครับ
             ทั้งหลายเหล่านี้ เป็นความคิด ความเข้าใจของผมเองจากการเรียนรู้ศึกษามา เห็นด้วยหรือไม่ ไม่เป็นไรครับ ไม่ชอบก็ข้ามๆไปนะครับ อย่าเอาอารมณ์ท่านมายึดติดกับข้อคิดข้อเขียน ของเด็กอนุบาลธรรมอย่างผมเลยนะครับ

กรรมเก่า & กรรมใหม่...ไม่เข้าใจจริงๆ?

             
               เคยมั๊ยครับ ในชีวิตช่วงที่มีอุปสรรคขัดขวาง ทำอะไรก็ไม่ดีไปหมด เดี๋ยวเจ็บ เดี๋ยวป่วย โดนแกล้งบ้าง การงานติดๆ ขัดๆ เงินทองขัดสน โดนโกงบ้าง เบี้ยวหนี้บ้าง สารพัดจะโดนเบียดเบียนทางร่างกาย ทรัพย์สิน และจิตใจ มันอะไรกันนี่? ฉันไปทำกรรมอะไรใครเอาไว้?
               ผมเคยคิดนะครับ เวลาอ่านข่าวเจอว่า คนเจออุบัติเหตุถึงแก่ชีวิต เช่น เดินๆอยู่กลางทุ่งนา เจอควายขวิดตาย (โบราณไปหรือปล่าวเนี่ย) หรือขับรถอยู่ดีๆ เจอตู้คอนเทนเน่อร์ หล่นใส่ทับ ตายโดยไม่ทันร่ำลาใคร หรืออยู่ดีๆ ก็โดนพวกขับรถมาปาดหน้า หมั่นไส้กัน ลงมาเอาปืนยิงฝากลูกกระสุนเอาไว้ในท้องให้เป็นที่ระทึกซะงั้น ล่าสุด มีคนสายบุญ ทำบุญหนักมาก เยอะมาก ไปโดนคนห่มผ้าเหลือง เอามีดอีโต้ฟัน เจ็บหนักจนเสียชีวิตในเวลาต่อมา เพียงเพราะว่า ไปเตือนถึงพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม ของชายห่มผ้าเหลือง
               ทางโลกๆก็คงบอกว่า...ซวย ดวงตก ทางธรรม ก็จะบอกว่า...คราวเคราะห์...กรรมตามทัน คนเหล่านี้ เขาไปทำกรรมอะไรเอาไว้หรือครับ
               บางท่านที่พอมีความรู้ทางธรรม อาจจะบอกว่า...กรรมเก่าที่ไปทำเขามาก่อน หรือ เจ้ากรรมนายเวร ที่เป็นคนที่เคยถูกเรากระทำมา ตามมาเอาคืน ในชาตินี้ เช่น ควาย หรือ คนที่มาทำร้ายเขาเหล่านั้น จนถึงชีวิต...ผมเคยคิดนะครับว่าถ้าอย่างงั้น คนที่มาเอาคืนก็สร้างกรรมใหม่ต่อ วนเวียนกันไป ไม่รู้จักจบ จักสิ้นสิครับท่าน? อันนี้ผมเองเคยตั้งคำถามเอาในใจ ด้วยความงุนงงสงสัยเป็นยิ่งนัก แต่หลังจากที่ผมได้อ่าน ได้ศึกษา เรื่องของกรรมมาพักใหญ่ๆ ผมจึงได้คำตอบว่า
              เรื่องของกรรมตามทัน หรือกรรมได้ช่อง ส่งผลนั้น คนที่มากระทำกับเรา ไม่จำเป็นต้องเป็นเจ้ากรรมนายเวร ของเรามาก่อนเสมอไป เป็นก็ได้ ไม่เป็นก็ได้ สุดแท้แต่จังหวะ ของเวลา ที่เรียกว่า กรรมได้ช่องนั่นเหล่ะครับ คือกรรมเขาจัดสรรค์หาเวลาที่เหมาะเหม็งให้เองเหล่ะครับ ส่วนเขาจัดสรรค์มายังไง ไม่ต้องไปคิดต่อนะครับ เพราะเกินกำลังสติปัญญาอย่างพวกเราจะไปคิดได้ พระพุทธองค์เรียกเรื่องแบบนี้ว่า เป็นอจินไต คิดมากไปอาจพาลเป็นบ้าเอาได้ เปลืองสมองไม่ได้ช่วยให้เข้าถึงธรรม
              ส่วนตัวเรา สมมุติว่าเราเคยเป็นเจ้ากรรมนายเวร ของคนอื่นมาก่อน ก็ไม่ได้หมายความว่า เราจะต้องไปเอาคืนเขาบ้างเสมอไปตามกำลังของกรรมเก่า แต่กรรมใหม่คือเรานี่เหล่ะที่สามารถกำหนดได้ว่า เมื่อถึงรอบที่เราจะเอาคืน เราจะยับยั้งชั่งใจได้ด้วย จิตสำนึกใหม่ของเราได้หรือไม่ ผ่านการที่มีโอกาสฟังธรรมมะ แล้วได้คิด กระตุกต่อมความเกรงกลัวต่อผลของกรรม เลยไม่กล้าลงมือ อโหสิกรรมกันไป
              ซึ่งเท่ากับว่าเราตัดวงจรกรรมของเรากับเขาไป ส่วนคนที่ได้รับอโหสิกรรมจากเรา ไม่ได้หมายความว่าเขาจะไม่ได้รับผลของกรรมอีกต่อไปนะครับ ผลก็ยังคงมี ที่ต้องได้รับ แต่ไม่โดนเรากระทำซ้ำเติมแค่นั้นเอง คือโทษอาจจะผ่อนหนักเป็นเบาไปประมาณนึง
              จะเห็นได้ว่า เรื่องของกรรมทั้งเก่า ทั้งใหม่ เป็นเรื่องที่ซับซ้อน เกินความคิดที่จะไปคาดเดา แต่มันส่งผลกับเราตลอดเวลา ตัวแปรที่มีผลมากๆก็คือ ความหนักเบา ของการกระทำที่ได้กระทำไป และทำกับใคร รวมถึงเจตนาของเราที่กระทำลงไปด้วยครับ กรรมจะส่งผลกับเราเมื่อไหร่ ที่ไหน เราไม่มีทางรู้หรอกครับ แต่เราสามารถระมัดระวังได้ครับ อย่างไรหรือครับ?
             ก็คือ...ความไม่ประมาทไงละครับ มีสติ ระมัดระวัง เหมือนที่พระพุทธองค์ ทรงย้ำพร่ำสอน ไว้  กรรมก็จะหาช่องไม่เจอ หรือเจอก็ยากหน่อย หมั่นเติมบุญไว้ให้สม่ำเสมอ ก็เป็นความไม่ประมาทอีกอย่างนึงครับ สาธุครับ

วันเสาร์ที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2562

บันทึกความคิด บันทึกธรรม บันทึกฝัน

           

            บทเกริ่นนำความคิด
           คนเราเกิดมาทุกๆคนคงต้องมีความฝัน บ้างก็ฝันกลางวัน บ้างก็ฝันกลางคืน ท่ามกลางความฝันทั้งหลายทั้งมวล บางคนฝันเพ้อเจ้อ ตื่นมาแล้วก้อจบๆไป อันนี้ทางธรรมเขาเรียกว่า ฝันเพราะธาตุกำเริบ เช่นกินอิ่มมากเกินไป นอนมากเกินไป
          บางคนฝันถึงคนที่รู้จัก หรือสถานที่ๆเคยพบเห็น อันนี้ทางธรรมก็เรียกว่า ฝันที่เกิดจากจิตนิวรณ์ คือจิตมีความผูกพันธ์กับเรื่องที่ฝัน
          บางคนฝันเห็นตัวเลข หรือมีคนมาบอกใบ้ ให้หวย บอกให้ไปขุดโน่นขุดนี่ ฝันว่าได้ไปเที่ยวที่ๆไม่เคยพบเคยเห็น มีใครมาพาไปบ้าง อันนี้ทางธรรม ก็เรียกว่าเทพสังหรณ์ คือมีเทวดา หรือคนที่ตายไปแล้ว มาบอกมาพา มาสื่อกับเราให้ได้เห็นได้รู้ ได้เจอ ฝันแบบนี้ค่อนข้างบอกได้ยากว่า จริงหรือไม่จริง บางคนถูกหวยจริง บางคนก็ไม่จริง มันก้ำๆกึ่งๆระหว่าง ธาตุกำเริบ กับ เทพสังหรณ์ (555) ต้องใช้วิจารณะญาณในการฝันให้ดีๆ
          บางคนฝันว่า มีเด็กมาขออยู่ด้วย ฝันว่าได้ลาภ แก้วแหวน เงิน ทอง ไอโฟน ฝันว่า จะมีคนใกล้ชิดจะจากไป ฝ้นถึงเหตุการณ์บางอย่างล่วงหน้า แล้วหลังจากตื่นมา ก็เกิดเรื่องราวที่ฝันเป็นจริง อันนี้ทางธรรมก็เรียกว่า สุบินนิมิตร หรือบุพนิมิตร  คือฝันที่มีลางบอกเหตุล่วงหน้า ทั้งดี และไม่ดี
          ผมเอง แม้ว่าจะหันหน้าใฝ่ธรรมมะ อย่างจริงๆจังๆมาเมื่อหลายปีก่อนหน้านี้แล้ว แต่ก็เรียกตัวเองได้อย่างเต็มปากว่า ถ้าเป็นนักเรียนก็ ระดับเตรียมอนุบาลทางธรรม คือ ยังห่างไกลนักกับนักปฎิบัติธรรมท่านอื่นมากๆนัก ผมมักจะมึความคิด ความสงสัยถาม-ตอบกับตัวเองอยู่ในหัว ในข้อธรรมที่พบเห็นเจอกับตัวเองบ้าง เห็นจากผู้อื่นบ้าง ประมาณว่าฝันละเมอเพ้อพกเถียงกับตัวเองในฝันละกัน อยากเอามาเล่าแลกเปลี่ยนความคิด ผิดบ้างถูกบ้าง อย่าถือสาผมนะครับ
           ผมมีพี่ที่รู้จัก และมีบุญคุณกับผมอย่างมากกกก ท่านหนึ่ง เป็นผู้นำบุญ บอกบุญ สแวงบุญ ทำบุญ ไว้ในพระพุทธศาสนามากมายคนนึง พี่เขาเป็นคนที่มีความฝัน ทั้งที่เรียกว่า ฝันแบบเคลิ้มๆในสมาธิ หรือฝันแบบลึกๆ (ส่วนท่านจะเรียกฝันแบบนี้ว่าอะไรก็แล้วแต่จะคิดครับ) ที่ถ้า ได้ยิน ได้ฟังแล้ว น่าจะเป็นประโยชน์กับ คนที่ทั้งเริ่ม และ ยังไม่เริ่มปฎิบัติธรรม เอาไปคิดพิจารณาดู โดยเฉพาะเรื่อง ผลของกรรม ทั้งดี และไม่ดี ว่าทำแล้วจะเกิดผลอะไรในภายภาคหน้า แต่....ผมต้องไปขออนุญาติพี่เขา ขอก๊อปปี้ ความฝันหลายๆเรื่อง เอามาลงเป็น ธรรมทาน ให้ได้อ่านกันครับ ซึ่งถ้าได้รับอนุญาติ ผมจะขอเรียกว่า "เรื่องเล่า ฝันในฝันเทวานิน" ครับ
          หากข้อคิด ข้อเขียน ข้อความฝ้นละเมอเพ้อพกนี้พอจะมีประโยชน์อยู่บ้างกับใครก็ตามที่ผ่านมาพบ อ่านโดยความบังเอิญ หรือเพราะเคยมีโอกาสได้พบปะเจอะเจอกันมาแต่ภพชาติใด ชาติหนึ่ง ก็ขอให้ผลบุญกุศล เจตนานี้ จงบังเกิดกับบิดา มารดา ญาติมิตร ครูบา อาจารย์ เทวดาประจำตัว หรือที่คอยดูแลช่วยเหลือ ตลอดจนท่านเจ้ากรรม นายเวร คู่กรรม คู่เวรทั้งหลาย จงอนุโมทนา และมีส่วนในบุญนี้ด้วยกัน ทั้งหมดทั้งสิ้นเทอญ

วันอาทิตย์ที่ 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2562

ทำบุญ...10 บาท 20 บาท กับคนต่างกัน ทำไม? ถึงผลบุญไม่เท่ากันล่ะ

           
              ปกติเช้าๆ เวลาไปใส่บาตร หรือเวลาผมเข้าวัด ภาพที่ผมมักจะเห็นบ่อยๆเลยคือ นักบุญท้้งหลาย ถ้าเลือกได้ มักจะเลือก ทำบุญกับพระที่มีอาวุโส หรือ ท่านเจ้าอาวาส แม้กระทั่งงานบุญใหญ่ๆ ที่มีการนิมนต์พระสงฆ์มาเป็นจำนวนมาก เจ้าภาพจัดงานก็จะจัดให้มีบาตร และกล่องสำหรับให้เรา หยอดเงินทำบุญ และใส่บาตร อยู่ข้างหน้าพระท่าน ผมก็จะเห็นว่า ผู้คนส่วนมาก มักจะเลือกทำบุญกับพระเกจิ หรือ พระที่มีอาวุโสก่อน เป็นลำดับแรกๆ ส่วนพระเณร หนุ่มๆ เณรน้อย ทั้งหลาย ก็จะได้รับอานิสงลดน้อยลงไปตามลำดับ นั่นเพราะเราเชื่อว่า ทำบุญกับพระเกจิ หรือพระที่มีอาวุโส จะได้บุญมากกว่า
             สำหรับนักบุญทั้งหลาย ก็คงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรนะครับ แม้ตัวผมเองก็ทำพฤติกรรมที่ว่านี้เหล่ะครับ....อ้าว แล้วจะพูดทำไม?
             เรื่องนี้ สำหรับคนที่ศึกษาธรรมมะ มาบ้างแล้วคงทราบดี ถึงได้มีเจตนาทำกันแบบนั้น ผมขอเอาสิ่งที่พระพุทธองค์ ทรงสอนไว้ มาบอกสั้นๆนิดนึงครับ คือ การทำบุญกับพระ หรือ บุคคลที่มีศีล ไม่เท่ากัน หรือมีบุญมากๆไม่เท่ากัน อานิสงค์ หรือผลของบุญย่อมได้ไม่เท่ากัน อันนี้สมมุติว่าปัจจัยอื่นๆที่เป็นตัวแปรเท่ากันนะครับ เช่น เงินสิบบาทเท่ากัน กำลังใจของผู้ทำมีเท่ากัน ทานที่ทำบริสุทธิเหมือนกัน ไม่ได้ไปเบียดเบียนของใครมา
             ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น? ให้เปรียบเทียบง่ายๆครับ เช่น เราเอาข้าวให้กับหมา แมวกิน เอาให้คนจนไม่มีจะกิน เอาให้มิจฉาชีพกิน เอาให้พระสงฆ์แท้ๆฉันท์
บุคคลเหล่านี้  หรือสัตว์เลี้ยง เป็นผู้ที่ไปทำประโยชน์ หรือทำความเดือดร้อนให้กับผู้อื่น ไม่เท่ากันครับ การให้ของเราจึงเป็นการให้ที่ไปส่งเสริมให้เกิดผลกระทบในภายหลังที่ไม่เท่ากัน บุญจึงไม่เท่ากัน อันนี้เป็นเพียงยกตัวอย่างในเรื่องของบุญจากการทำทานนะครับ จริงๆแล้ว บุญเกิดได้จากหลายๆทาง และก็ผลของบุญจากการกระทำแต่ละอย่าง ก็ได้ผลต่างกัน ไม่เท่ากัน เช่นกันครับ
             ถ้าอย่างนั้น เราควรจะต้องเลือกทำบุญ ทำทานกับ วัดดังๆ พระดังๆ ถูกต้องมั๊ยครับ บางท่านก็ว่า ฉันขอทำบุญกับวัดเล็กๆ วัดป่า ดีกว่า วัดโน้น วัดนี้ รวยแล้ว? บ้างก็ว่า งั้นไม่ให้ตัง ขอทานตามถนนแระ  หมาแมว ก็ไม่ต้องให้ละ? ไม่คุ้ม?
             สำหรับผม ผมคิดอย่างนี้นะครับ ผมตีความตามความเข้าใจของผมเป็นหลักคิดแบบนี้ครับ ผมอ้างอิงตามที่พระพุทธองค์ท่าน สั่งสอนว่า ทุกอย่างในโลกนี้ ให้ยึดหลักสายกลาง หรือสมดุลย์ ซึ่งสายกลาง หรือสมดุลย์ของแต่ละคนย่อมไม่เท่ากันครับ
             ถ้าท่านมีเงิน มีทรัพย์ เหลือกิน เหลือใช้มากพอที่จะแบ่งปันไปได้หลายๆทาง ท่านควรที่จะทำบุญตามโอกาสที่ท่านมีครับ คือ เมื่อมีโอกาสทำบุญกับเนื้อนาบุญที่ท่านมั่นใจท่านก็ทำ มากน้อยแล้วแต่กำลังใจที่มี จะวัดดัง ไม่วัดดัง ถ้าท่านมั่นใจ ท่านทำไปเหอะครับ แต่เมื่อท่านเจอโอกาสในการทำบุญให้ทาน กับวัดเล็กๆ พระเณรน้อย หรือ คนยากคนจน ท่านก็ควรต้องทำโดยไม่ พะวงบุญที่จะได้รับครับ ว่าจะด้อย หรือน้อยลงไป เพราะกำลังบุญเก่าท่านมีเยอะจนไม่ควรพะวงแล้ว
             แต่...สำหรับคนที่มีเงิน หรือทรัพย์น้อยหน่อย ไม่มากพอที่จะทำบ่อยๆ หรือ ทำแบบไม่เลือก ผมว่า...ทำแบบพิจารณาบ้าง น่าจะดีกว่าครับ อ้าว...ทำไมล่ะ?
            ผมมองว่า เหตุที่เรามีทรัพย์น้อย เงินน้อย ก็เพราะกำลังบุญเก่าเราน้อย ถ้าเราทำบุญใหม่ในชาตินี้ โดยไม่เลือกบ้าง ตัวคูณที่จะช่วยกำลังบุญเรา ก็จะน้อยไปด้วย เช่น ถ้าท่านมัวทำบุญกับหมาแมว แล้วคิดว่าดีกว่า เห้อ...ตังค์ก็น้อย แล้วยังบุญน้อย เมื่อไหร่ จะได้ลืมตาอ้าปาก มาทำบุญหนักๆ กับคนอื่นเขาละครับ
            แต่ว่า...ถ้าไม่มีโอกาสให้เลือก คือบางที เช่น เดินไปเจอขอทาน แล้วมีเศษสตางค์อยู่ในกระเป๋า และไม่เดือดร้อนกับเงินจำนวนนั้น (เช่นให้ไป แล้วต้องเดินกลับบ้านอีกสิบกิโล) มีโอกาส ก็ควรต้องทำเช่นกันครับ หรือบางทีไปเที่ยวต่างจังหวัด เข้าวัดไปทำบุญต่างสถานที่ บ้างก็ได้ครับ อย่าไปจำกัดว่า วัดที่ฉันทำประจำดีที่สุด ต่างวัดฉันไม่ทำ อันนี้ถือเป็นนักบุญ มิจฉาทิฐิครับ เพราะแม้แต่พระพุทธองค์ ยังไม่สนับสนุนการทำบุญโดยเฉพาะเจาะจงกับพระองค์เลย ยังให้ทำเป็นสังฆทาน ซึ่งได้บุญมากกว่าอีก
            สรุปว่า...การทำบุญที่แท้จริงแล้ว โดยเฉพาะเรื่องของการให้ทาน เป้าประสงค์จริงๆแล้ว เป็นไปเพื่อการเสียสละ ไม่ยึดติดกับสิ่งของ ให้รู้จักสละออกไปเสียบ้าง เป็นเป้าหลัก ส่วนบุญที่จะได้มา ยังไงก็ได้อยู่แล้ว จะได้มาก ได้น้อย เป็นเรื่องรองที่คงต้องพิจารณาบ้าง ตามกำลัง สารรูปของผู้ทำ ทำอะไรไม่คิดพิจารณาบ้าง อันนี้พระพุทธองค์ก็ไมปลื้มครับ ย้ำครับทางสายกลาง น่าจะดีที่สุดครับ และอย่าลืมนะครับก่อนจะทำบุญ ทำทานกับคนนอกบ้าน ลองหันมามอง คนในบ้านบ้างนะครับ ว่าท่านช่วยเหลือ เกื้อกูลบ้างหรือเปล่า โดยเฉพาะ พ่อ แม่ หรือพระในบ้านของเรานี่เหล่ะครับ ส่วนพี่ น้อง ในสายเลือด หากว่าเขาเดือดร้อน  ช่วยได้ ก็ต้องช่วยนะครับ สาธุๆๆ